พระพุทธศาสนาวัชรยานในประเทศไทย โดย ธนพร มานะสิริกุล1. หัวข้อในการศึกษาพระพุทธศาสนาวัชรยานในประเทศไทยในครั้งนี้ ได้แก่ 1.1 ประวัติความเป็นมา 1.2 นิกายสำคัญ 1.3 พระพุทธศาสนาวัชรยานในประเทศไทย 1.4 ศูนย์/มูลนิธิเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาวัชรยานในประเทศไทย
1.1 ประวัติความเป็นมา พุทธศาสนาวัชรยานได้ถือกำเนิดในประเทศอินเดีย และเข้าไปเจริญรุ่งเรืองในประเทศธิเบต โดยมีประวัติความเป็นมา ดังนี้ ศาสนาพุทธได้เข้าสู่ธิเบตในสมัยของพระเจ้าสองสันกัมโป ประมาณปี ค.ศ. 630 ในรัชสมัยนี้ ธิเบตเรืองอำนาจในทางทหาร ทำให้ประเทศใกล้เคียงอย่างเนปาลและจีนจำต้องสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีกับธิเบต ดังนั้น พระเจ้าอังสุวรมัน (กษัตริย์เนปาลในสมัยนั้น) จึงพระราชทานพระราชธิดานามว่า “เจ้าหญิงภริคุติ” ให้อภิเษกเป็นพระชายาของพระเจ้าสองสันกัมโป โดยเหตุที่เจ้าหญิงเป็นชาวพุทธที่เคร่งครัด เมื่อเสด็จมาธิเบตก็ได้นำพระพุทธรูปมาด้วย องค์สำคัญที่สุดเป็นพระพุทธรูปพระศากยมุนี ซึ่งพระเจ้าสองสันกัมโปโปรดให้ประดิษฐานไว้ที่วัดราโมเช (วัดหลวงในนครลาซาของธิเบต) ทางฝ่ายประเทศจีนขณะนั้น พระเจ้าถังไท้ซุงทรงเป็นจักรพรรดิในราชวงศ์ถังทรงประทับใจในความเก่งกล้าในการรบและการขยายอำนาจของ พระเจ้าสองสันกัมโป จึงยกเจ้าหญิงเวนเชิง (พระราชธิดา) ให้เป็นพระชายาของพระเจ้าสองสันกัมโป ซึ่งสิ่งสำคัญที่เจ้าหญิงเวนเชิงนำมาด้วยจากประเทศจีนคือ พระพุทธรูปศากยมุนี ปัจจุบันเป็นพระประธานในวัดโจกัง (วัดหลวงในนครลาซา) ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น จึงส่งทูตชาวธิเบตชื่อ “สัมโพทา” พร้อมคณะอีก 12 คน เดินทางไปอินเดียเพื่อเรียนภาษาสันสกฤต เมื่ออาจารย์สัมโพทากลับมาก็ได้นำอักขระและไวยกรณ์สันสกฤตกลับมาเป็นรากฐานในการคิดอักษรธิเบตขึ้น และท่านได้เขียนหนังสือหลักไวยากรณ์สันสกฤตไว้ 8 เล่ม (ปัจจุบันสูญหายไป คงเหลือเพียง 2 เล่ม) รวมถึงแปลงานพระพุทธศาสนาที่สำคัญๆ เป็นภาษาธิเบต พระเจ้าสองสันกัมโปเองทรงสนพระทัยศึกษาพุทธศาสนาจนแตกฉานและทรงแสดงธรรมเองด้วย ใน ค.ศ. 755 กษัตริย์องค์ต่อมาที่ทรงมีบทบาทต่อการวางรากฐานพุทธศาสนาในธิเบตคือ “พระเจ้าตริสองเดซัน” พระองค์ได้นิมนต์อาจารย์ศานตรักษิตจากอินเดียเข้ามาทำการสอนพระพุทธศาสนา แต่อาจารย์ศานตรักษิตเป็นพระนักวิชาการ เมื่อเผชิญหน้ากับศาสนาบอนที่เป็นศาสนาพื้นฐานของธิเบต ซึ่งเต็มไปด้วยความเชื่อในอำนาจของภูตผีปีศาจการทรงเจ้าเข้าผี อาจารย์ศานตรักษิตจึงถวายคำแนะนำแก่พระเจ้าตริสองเดซันให้นิมนต์ท่านอาจารย์ปัทมสัมภวะที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้เวทมนตร์คาถา ซึ่งท่านสามารถปราบอำนาจภูตผีปีศาจของศาสนาบอนได้ และยังทำให้ภูตผีปีศาจเหล่านั้นหันมาสนับสนุนและปกป้องรักษา พุทธศาสนาด้วย ในขณะนั้น มีการเผยแพร่คำสอนพระพุทธศาสนาที่ขัดแย้งกันในธิเบต พระเจ้าตริสองเดซันทรงเห็นว่าจำเป็นจะต้องสร้างเอกภาพในการวางรากฐานคำสอนพระพุทธศาสนาในธิเบต จึงได้จัดให้มีการโต้วาทีระหว่างพระภิกษุสงฆ์ชาวจีนชื่อ “ต้าชู” กับนักปราญ์ชาวอินเดียคือ อาจารย์กมลศีล โดยมีกติกาว่า หากผู้ใดแพ้จะต้องกลับประเทศไป และฝ่ายที่ชนะจะได้รับการสนับสนุนให้เผยแพร่พระพุทธศาสนาในธิเบตต่อไป อาจารย์ฝ่ายอินเดียมีความเชี่ยวชาญในด้านปรัชญาและตรรกศาสตร์ ในขณะที่อาจารย์ฝ่ายจีนมีความสามารถเฉพาะในด้านการปฏิบัติ จึงพ่ายแพ้ไป ดังนั้น พระพุทธศาสนาที่ประดิษฐานในธิเบตจึงเป็นพระพุทธศาสนาแบบอินเดีย นอกจากนั้น พระองค์ได้นิมนต์พระนิกายสรวาสติวาท จำนวน 12 รูป และคัดเลือกชายหนุ่มชาว ธิเบตเข้ารับการบรรพชาอุปสมบทจำนวน 5 คน เพื่อเป็นการทดลองว่า พุทธศาสนาจะเจริญในธิเบตได้หรือไม่ ผลปรากฏว่า ภิกษุเหล่านี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นการวางรากฐานการบวชของธิเบต จากนั้น มีชาวธิเบตทั้งชายและหญิงบวชถึง 300 คน นับเป็นการวางรากฐานที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาในธิเบตตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
1.2 นิกายสำคัญ นับตั้งแต่ศาสนาพุทธเผยแผ่เข้าสู่ประเทศธิเบต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำสอนที่ถ่ายทอดมาจากอาจารย์และโยคีชาวอินเดีย โดยมีการถ่ายทอดคำสอนออกเป็นหลายนิกายทั้งนิกายใหญ่และนิกายย่อย แต่ปัจจุบันมีนิกายหลักสำคัญอยู่ 4 นิกายคือ นิกายนิงมะ นิกายกาจู นิกายสักยะ และนิกายเกลุก 1.) นิกายนิงมะ นิกายนิงมะถือกำเนิดจากปฐมาจารย์ชาวอินเดียคือ คุรุปัทมสัมภวะ ท่านเป็นโยคีผู้ทรงความรู้โดยเฉพาะในสายตันตระ ชาวธิเบตโดยทั่วไปเรียกอาจารย์คุรุปัทมสัมภวะด้วยความยกย่องเทิดทูนว่า “คุรุริมโปเช” ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ท่านร่วมมือกับพระภิกษุศานติรักษิตช่วยกันสร้างวัดสัมเย ซึ่งเป็นวัดของพระพุทธศาสนาวัดแรกในธิเบต ต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาพุทธศาสนาที่สำคัญ และเป็นแหล่งแปลคัมภีร์สำคัญในวรรณคดีพุทธศาสนาเป็นภาษาธิเบต ในนิกายนิงมะแบ่งคำสอนพุทธศาสนาออกเป็น (1.) นวยาน คือ ยานทั้ง 9 ได้แก่ สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตวยาน (2.) ตันตระสาม ได้แก่ กิริยาตันตระ จะเน้นในการปฏิบัติกายให้ถูกต้อง อุปตันตระ เป็นการกระทำสมาธิโดยการเพ่งในพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ และโยคะตันตระ เป็นการพัฒนาพลังจิตที่สอนโดยวัชรสัตว์ (3.) ตันตระขั้นสูง 3 ยาน ได้แก่ มหาโยคะ เน้นการปฏิบัติการวางความยึดมั่นถือมั่น อนุโยคะ การฝึกสมาธิให้เป็นหนึ่งกับวัชรกาย เพื่อเข้าถึงความตระหนักรู้ชั้นรากฐาน และอติโยคะ คือ การปฏิบัติขั้นสูงสุด เพื่อก้าวข้ามโลกียะตามคำสอนของ สมันตภัทรพุทธะ คำสอนในหกยานแรกของนิกายนิงมะสอดคล้องกับพุทธศาสนาแบบธิเบตนิกายอื่นๆ มีเพียงสามยานสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นลักษณะคำสอนและการปฏิบัติเฉพาะของนิกายนิงมะ นอกจากนั้น ยังมีคำสอนและการปฏิบัติที่เป็นลักษณะเฉพาะของนิกายนี้อีกคือ ซอกเช็น (มหาบารมี) ซึ่งฆราวาสก็สามารถปฏิบัติและเข้าถึงได้โดยการสวดพระนามของคุรุริมโปเช นิกายนิงมะในขณะนี้ มีอาจารย์ดิลโกเท็นเซริมโปเชเป็นหัวหน้าหรือผู้นำนิกาย 2.) นิกายกาจู กาจูเป็นนิกายที่มีรากฐานความเป็นมาจากอาจารย์มาร์ปะโชคีโลโดและทุงโปญาลจอร์ อาจารย์มาร์ปะเป็นนักแปลที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของธิเบต ท่านได้เดินทางไปอินเดียและเนปาล เพื่อศึกษาพระธรรมจากทั้งอาจารย์และโยคีจำนวนมาก โดยมีอาจารย์ที่สำคัญคือ นโรปะ และไมตรีปะ มาร์ปะได้รับคำสอนสายตันตระที่เรียกว่า สายทั้งสี่ ได้แก่ กายมายา การสืบทอดวิญญาณ ความฝัน และแสงโอภาส รวมทั้งความร้อนภายในโดยตรงจากนโรปะ คำสอนนี้มาจากเหล่าคำสอนที่เป็นรากฐานความรู้คือ พระพุทธเจ้าวัชรธร อาจารย์มาร์ปะนำความรู้นี้มายังธิเบตและถ่ายทอดให้ศิษย์เอกคือ มิลาเรปะ โดยมิลาเรปะรับผิดชอบในการถ่ายทอดคำสอนทางการปฏิบัติสมาธิ ในขณะที่ลูกศิษย์คนอื่นเป็นผู้สืบทอดคำสอนสายของมาร์ปะ นิกายกาจูจึงได้รับถ่ายทอดคำสอนทั้ง 2 สายคือ สายสมาธิ และสายการฝึกฝนทางปรัชญา โดยหลักสำคัญของคำสอนมีรากฐานในมหามุทรา โยคะทั้ง 6 ของนโรปะ มหามุทราเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของนิกายกาจูสามารถอธิบายได้ตามพระสูตรและตันตระ คำสอนทั้งสองแบบต่างเน้นให้เข้าใจโดยตรงและอย่างถ่องแท้ในธรรมชาติที่แท้จริงของจิต การปฏิบัติทางตันตระที่มีลักษณะเฉพาะของนิกายกาจูคือ โยคะทั้ง 6 ของนโรปะ จักรสัมภวะ และมหากาล และสำหรับการฝึกฝนของพระภิกษุในวัดของกาจูมีการศึกษาเรื่องปัญญาบารมี มาธยามิก การรับรู้ที่ถูกต้อง พระวินัย และปรากฏการณ์วิทยาเช่นเดียวกับนิกายอื่น 3.) นิกายสักยะ นิกายสักยะก่อตั้งโดยคอนคอนจ็อกเจลโป ผู้นำของนิกายนี้จะสืบทอดตำแหน่งตามสายโลหิตของตระกูลคอน นับตั้งแต่คอนคอนจ็อกเจลโปเป็นต้นมา นิกายนี้มีรากฐานคำสอนมาจากโยคีชาวอินเดียชื่อ “วิรูปะ” ซึ่งถ่ายทอดคำสอนมาจากคายธรดรอกมีสักยะเยเช ท่านได้เดินทางไปอินเดียและได้รับคำสอนในเรื่องกาลจักร รวมถึงมรรควิถีและผลจากอาจารย์ในประเทศอินเดียหลายคน ต่อมาคอนก่อนจ็อกเจลโปได้สร้างวัดขึ้นในแคว้นซังอยู่ในธิเบตตอนกลาง ใช้ชื่อว่าสักยะ นิกายนี้เลยได้ชื่อตามชื่อวัด คำสอนและการปฏิบัติที่เป็นแก่นของสักยะคือ ลัมเดร และมรรควิถีและผล ในมรรควิถีและผลนั้นได้รวมคำสอนทั้งฝ่ายพระสูตรและตันตระทั้งที่เปิดเผยและรหัสนัย โดยในท้ายที่สุดจะนำผู้ปฏิบัติไปสู่ เหวัชระ ซึ่งการสืบทอดมรรควิถีและผลแยกต่อไปอีกเป็น 2 สายคือ การอธิบายเป็นส่วนตัวเฉพาะศิษย์ และการเทศน์สอนธรรมสภา และในการปฏิบัติทางตันตระที่นิกายสักยะถือเป็นหลักคือ เหวัชระ จักรสัมภวะ ตันตระ และมหากาล วัดมหาวิทยาลัยของสักยะมีการศึกษาคัมภีร์หลัก 18 อย่างคือ ปัญญาบารมี พระวินัย มาธยมิกทรรศนะ ปรากฏการณ์วิทยา ตรรกศาสตร์ และทฤษฎีความรู้ รวมทั้งอรรถกถาเฉพาะของนิกายที่อาจารย์สำคัญของนิกายอธิบายไว้เมื่อเรียนสำเร็จแล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้ หลังจากที่นิกายสักยะอพยพมาอยู่ในประเทศอินเดียได้สร้างวัดขึ้นใหม่ตามชื่อวัดเดิมในธิเบต 4.) นิกายเกลุก นิกายเกลุกพัฒนามาจากนิกายกดัมที่อาจารย์อตีษะวางรากฐานไว้แต่เดิม และจัดเป็นรูปแบบให้ชัดเจนโดยอาจารย์สองขะปะ โดยมีสานุศิษย์ของสองขะปะเป็นแรงสำคัญในการวางรากฐานก่อตั้งนิกายเกลุก อาจารย์สองขะปะรับศีลอุบาสกตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ต่อมาอายุได้ 7 ขวบ จึงบรรพชาเป็นสามเณร ท่านได้ออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้และศึกษาเล่าเรียนอยู่กับอาจารย์ในนิกายต่างๆ พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติควบคู่ไปด้วย หลังจากนั้น ท่านได้สอนสานุศิษย์อย่างแพร่หลายในธิเบตตอนกลางและตะวันออก และที่สำคัญท่านได้เขียนตำราและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับคำสอนในพุทธศาสนาและอรรถกถาอธิบายขยายข้อธรรมที่ยากแก่การเข้าใจทั้งในฝ่ายพระสูตรและตันตระไว้ถึง 18 เล่ม และเมื่อท่านมรณภาพ จึงได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกานเด็นให้แก่เจลซับเจ นับเป็นการเริ่มประเพณีการสืบทอดของนิกายแกลุกมาจนถึงปัจจุบัน นิกายเกลุกเป็นนิกายที่มุ่งเน้นในด้านความเคร่งครัดของการปฏิบัติพระวินัยโดยถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการศึกษาและการปฏิบัติพุทธศาสนา และยังถือว่าการศึกษาอย่างเป็นวิชาการเป็นพื้นฐานสำคัญของการฝึกสมาธิ ดังนั้น จึงเน้นการสอนทั้งในด้านพระสูตรและตันตระ ซึ่งวิธีการสอนจะเน้นออกมาทางการวิเคราะห์ โดยผ่านการฝึกฝนตามตรรกวิภาษ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหลักสูตรการศึกษาของนิกายเกลุกจะครอบคลุมหัวข้อใหญ่ 5 แขนงคือ ปัญญาบารมี ปรัชญามาธยมิก การรับรู้ที่ถูกต้อง ปรากฏการณ์วินัย และพระวินัย การศึกษาทั้ง 5 แขนงนี้จะเป็นไปอย่างเคร่งครัดและเป็นระบบโดยวิภาษวิธี เมื่อจบการศึกษาและการอบรมดังกล่าวแล้ว พระภิกษุจะได้รับปริญญาเป็น 3 ระดับคือ (1.) เกเช่โดรัมปะซอกรัมปะ (2.) ลาลัมปะ (3.) เกเช่ลาลัมปะ (เทียบเท่าปริญญาเอก) หลังจากนั้น เกเช่อาจจะฝึกฝนต่อกับวิทยาลัยตันตระ หรืออาจจะกลับไปวัดต้นสังกัด เพื่อสอนพระภิกษุรุ่นใหม่ต่อไป หรือเลือกที่จะหันไปปฏิบัติสมาธิเฉพาะตน วัดของนิกายเกลุกที่สำคัญในธิเบตคือ วัดกานเด็น ก่อตั้งโดยท่านสองขะปะ ใน ค.ศ. 1409 มีมหาวิทยาลัย 2 แห่ง ดังนั้น วัดกานเด็นจึงเป็นทั้งวัดและศูนย์การศึกษาของพุทธศาสนาสำหรับพระภิกษุ ซึ่งนิกายนี้ แม้หลังอพยพออกจากธิเบตแล้ว ก็ยังมีความกระตือรือร้นในการพยายามสานต่องานในด้านการให้การศึกษาพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุ ส่วนหนึ่งของความมั่นคงของนิกายนี้สืบเนื่องมาจากที่นิกายนี้ได้ปกครองประเทศธิเบตสืบต่อกันมากว่าสองศตวรรษ องค์ทะไลลามะที่เป็นพระประมุขของประเทศก็เป็นพระภิกษุในนิกายนี้
1.3 พระพุทธศาสนาวัชรยานในประเทศไทย การปฏิบัติวัชรยานในประเทศไทยได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 70 ปีที่ผ่านมาโดยพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร หรือที่รู้จักกันนามของ “ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้ง” ท่านคือมหาอริยสงฆ์แห่งช่วงกึ่งพุทธกาล ซึ่งท่านอร่ารินโปเช่ ซึ่งเป็นสังฆราชาแห่งวัดริโวเช่แห่งแคว้นคามในธิเบตได้เคยกล่าวว่า ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งคือ “ตุลกูแห่งคุรุนาครชุน” ผู้มาเพื่อสถาปนาความมั่นคงแห่งพุทธศาสนามหายานในภูมิภาคนี้ โดยในราวปี พ.ศ. 2482 ท่านเจ้าคุณได้กลับจากการศึกษาวัชรยานในธิเบต ท่านได้รับศิษย์ปฏิบัติวัชรยานไว้หลายท่าน และท่านยังได้สร้างวัดโพธิ์เย็น (ปัจจุบันเป็นวัดของจีนนิกาย) ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติวัชรยาน นอกจากนั้น ท่านได้สร้างองค์คุรุปัทมะสมภพขึ้น 2 องค์ ซึ่งองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ที่องค์ประปฐมเจดีย์ในจังหวัดนครปฐม และอีกองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ ณ วัดโพธิ์เย็นในจังหวัดกาญจนบุรี ดังนั้น จึงอาจนับได้ว่า พุทธศาสนาวัชรยานได้เริ่มเข้ามาในประเทศไทยโดยการนำของท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้ง
1.4 ศูนย์/มูลนิธิเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาวัชรยานในประเทศไทย ปัจจุบันยังไม่พบวัดของพุทธศาสนาวัชรยานในเมืองไทย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มีกลุ่มผู้ที่สนใจศึกษาพุทธศาสนาวัชรยานและประเทศธิเบตร่วมกันก่อตั้งศูนย์และมูลนิธิขึ้นในประเทศไทย ดังนี้ 1.) มูลนิธิพันดารา ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 โดยมีเป้าหมายเพื่อ (1.) เผยแพร่ความรู้ทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมของชาวธิเบต (2.) ส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันในกลุ่มชาวพุทธที่มีประเพณีที่หลากหลาย (3.) เป็นการผสมผสานระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน (4.) มีบทบาทเป็นศูนย์กลางให้กับโครงการธิเบตศึกษาในประเทศไทย และเป็นศูนย์ประสานงานกับองค์กรต่างๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เพื่อพัฒนาชุมชนไทยและธิเบต และ (5.) อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชนชาติ ธิเบต ชาวไทย รวมไปถึงชาวเอเชียด้วยเช่นกัน ข้อมูลการติดต่อ : สำนักงานของมูลนิธิพันดารา เลขที่ 139/908 หมู่ที่ 3 ตำบลบางรักน้อย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ 02-5285308, 02-5114545 โทรสาร 02-9387864, 02-5285308 2.) ศูนย์ไทย-ธิเบต เกิดขึ้นจากการริเริ่มและรวมกลุ่มกันของชาวไทยผู้สนใจในเรื่องราวทางธิเบตศึกษาและพุทธศาสนาวัชรยาน การก่อตั้งศูนย์นี้มีความสืบเนื่องมาตั้งแต่การรณรงค์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศอย่างเป็นอิสระ ในกรณีที่องค์ทะไลลามะๆ ได้รับการปฏิเสธมิให้เดินทางเข้ามาร่วมประชุมที่กรุงเทพ ซึ่งแม้การรณรงค์เรียกร้องต่อรัฐบาลครั้งนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนมติได้ แต่ก็ทำให้ได้รับทราบว่า มีประชาชนคนไทยจำนวนมากที่ให้ความสนใจเรื่องราวในทางธิเบตทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ อารยธรรม และการปฏิบัติธรรมทางวัชรยาน รวมถึงสถานะของชนชาตินี้ในปัจจุบัน กรณีการรณรงค์ดังกล่าวจึงมีผู้เห็นว่า หากมีการก่อตั้งศูนย์กลางเพื่อดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับธิเบตศึกษาขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยประสงค์จะให้เป็นแหล่งรวม เพื่อการศึกษาค้นคว้าพบปะพูดคุย และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับธิเบตและพุทธศาสนาวัชรยานทั้งในหมู่คนไทยผู้สนใจและชาวต่างประเทศก็จะเป็นประโยชน์มิใช่น้อย จึงได้มีการประชุมเพื่อจัดตั้งและวางแผนนโยบายของศูนย์ ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2531 และได้ดำเนินการติดต่อขอความอนุเคราะห์จากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อรับเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์ไทย-ธิเบต โดยในทางนิตินัย ศูนย์นี้อยู่ภายใต้สังกัดของ “มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคประทีป” วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งศูนย์ไทย-ธิเบตคือ (1.) เพื่อศึกษาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมสังคมของธิเบต (2.) เพื่อเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างประชาชนไทยและธิเบต และ (3.) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างพุทธศาสนานิกายต่างๆ ข้อมูลการติดต่อ : โครงการศูนย์ไทย-ธิเบต เลขที่ 113-115 ถนนเฟื่องนคร (ตรงข้าม วัดราชบพิธ) จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10200 3.) ริโวเช่ธรรมสถาน ก่อตั้งขึ้นโดยคุณชาญชัย คูณทวีลาภ ซึ่งท่านได้ปฏิบัติวัชรธรรมมาประมาณ 20 ปี โดยได้พบได้สัมพันธ์กับพระมหาวัชรจารย์ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งในเวลาที่ผ่านมาพบปัญหาในเรื่องศูนย์กลางการประสานงานต่างๆ ท่านจึงได้ปรึกษาพระอาจารย์โซนัมรินโปเช่ (พระมหาวัชราจารย์ผู้มีอาวุโสสูงสุดของวัดริโวเช่ในธิเบต) ในเรื่องที่จะจัดตั้งศูนย์กลางเพื่อใช้ประสานสัมพันธ์กับพุทธศาสนิกชนทั่วไป และเพื่อเป็นศูนย์เผยแพร่ รวมถึงเพื่อการปฏิบัติวัชรธรรม พระอาจารย์โซนัมรินโปเช่ท่านเห็นด้วย และได้ตั้งชื่อศูนย์ว่า “ริโวเช่ธรรมสถาน” โดยในปัจจุบัน คุณชาญชัย คูณทวีลาภดำรงตำแหน่งเป็นประธานธรรมสถาน เป้าหมายของริโวเช่ธรรมสถานคือ เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและธรรมะจากริโวเช่แก่ชาวโลก วัดริโวเช่เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งมีชื่อเสียงมากในสายปฏิบัติที่มีอายุมากกว่า 800 ปี ซึ่งวัดริโวเช่นี้มีความพิเศษกว่าวัดอื่นๆ ในธิเบต เนื่องจากเป็นวัดเดียวที่รวมนิกายนิงมะและกาจู โดยพระลามะแห่งริโวเช่จะศึกษาปฏิบัติธรรมทั้งสองนิกาย ข้อมูลการติดต่อ : คุณชาญชัย คูณทวีลาภ (ประธานริโวเช่ธรรมสถาน) หมู่บ้านทิพวัล ถนนเทพารักษ์ สำโรงเหนือสมุทรปราการ โทรศัพท์ 02-3843939, 081-810-0674 หรือ คุณฤทธิชัย เอกสินิทธ์กุล (เจ้าหน้าที่ริโวเช่ธรรมสถาน) อุดมสุข ซอย 7 ถนนสุขุมวิท 103 บางนา กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 02-7476512-3, 081-9179039
อ้างอิง ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ บัฏเสน. (2538). พระพุทธศาสนาแบบธิเบต. ส่องศยาม. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์. (2546). มองมุมธิเบต มุมมองทางศาสนาและวัฒนธรรมของธิเบต. ส่องศยาม. ริโวเชธรรมสถาน. (2548). ริโวเชธรรมสถาน. 17 ธันวาคม 2553. http://www.mahayana.in.th/book/ริโวเชธรรสถาน.htm ริโวเชธรรมสถาน. พุทธศาสนาวัชรยาน. 17 ธันวาคม 2553. http://www.mahayana.in.th/buddhism/วัชรยาน.htm มูลนิธิพันดารา. (2551). ABOUT US. 4 มกราคม 2554. http://www.thousand-stars.org/About08052008.pdf Administrator. (2552). ศูนย์ไทย-ธิเบต. 4 มกราคม 2554. http://www.snf.or.th/index.php/2009-06-12-07-21-01/11-2009-06-12-07-27-27/60-2009-12-16-14-35-17 ดาวน์โหลดเอกสาร |