นานาสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนา

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวเถรวาท

เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ (Buddhist Economics)


เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ (Buddhist Economics) (บทความ พระไตรปิฎกวิจารณ์ (A Critical Study of the Tipitฺaka)
http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Critical/05.htm)

           “เศรษฐศาสตร์แนวพุทธนั้น ต้องสอดคล้องกับกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย อย่างครบวงจร การที่จะสอดคล้องกับกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยอย่างครบวงจร ก็ต้องเป็นไปโดยสัมพันธ์ด้วยดี กับองค์ประกอบทุกอย่างในระบบการดำรงอยู่ของมนุษย์ องค์ประกอบทั้งสาม* ในการดำรงอยู่ ของมนุษย์นั้นจะต้องประสานเกื้อกูลกัน หมายความว่า องค์ประกอบเหล่านี้ประสานกันด้วย และเกื้อกูลต่อกันด้วย ในการดำรงอยู่ร่วมกันและก็เดินไปด้วยกัน ฉะนั้น พฤติกรรมในทางเศรษฐกิจของมนุษย์ จะต้องเป็นไปในทางที่ไม่เบียดเบียนตน คือ ไม่ทำให้เสียคุณภาพชีวิตของตนเอง แต่ให้เป็นไปในทางที่พัฒนาคุณภาพชีวิต เสริมคุณภาพชีวิตนั้น นี่เป็นการไม่เบียดเบียนตน และ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือไม่ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม และไม่ทำให้เสียคุณภาพของ eco-systems หรือระบบธรรมชาติแวดล้อม.”

           พระเทพเวที (ป.อ. ปยุตฺโต)


ที่มา
: หนังสือ “เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ buddhist economics” โดย พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต),
คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ กันยายน ๒๕๓๗ หน้า ๔๗



           เศรษฐศาสตร์คืออะไร

           คำว่า เศรษฐศาสตร์ คือวิทยาการที่ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับการผลิต การกระจายสินค้าหรือกระจายรายได้ และการบริโภคทรัพย์ หรือสวัสดิการของมนุษย์

           [Economics is the science treating of the production, distribution, and consumption of wealth, or the material welfare of mankind]

           เศรษฐศาสตร์ คือวิชาว่าด้วยการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่างๆ ของชุมชน มี ๒ สาขา คือ

           ๑. เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Micro-Economics) ได้แก่ เศรษฐศาสตร์ ภาคที่ศึกษาปัญหา

           เศรษฐกิจส่วนเอกชน หรือปัญหาการหาตลาดเป็นต้น

           ๒. เศรษฐศาสตร์มหัพภาค (Macro-Economics) ได้แก่ เศรษฐศาสตร์ภาคที่ศึกษาปัญหาเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม เช่น ปัญหาเรื่องรายได้ของประชาชาติ การออมทรัพย์ของประชากร ปัญหาการลงทุน



           เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ

           ๑. หลักการสร้างตนทางเศรษฐกิจ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ๔ อย่าง

           (๑) อุฏฐานสัมปทา ขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่การงานประกอบอาชีพอันสุจริตมีความชำนาญ รู้จักใช้ปัญญาสอดส่องตรวจตราหาอุบายวิธี สามารถจัดดำเนินการให้ได้ผลดี

           (๒) อารักขสัมปทา รู้จักรักษาและคุ้มครองโภคทรัพย์ และผลงานอันตนทำไว้ด้วยความขยันหมั่นเพียรโดยชอบธรรม ด้วยกำลังงานของตนไม่ให้เป็นอันตรายหรือเสื่อมเสีย

           (๓) กัลยาณมิตตตา คบคนดีเป็นมิตร คือรู้จักกำหนดบุคคลในถิ่นที่อาศัย เลือกเสวนาสำเนียกศึกษาเยี่ยงอย่างท่านผู้ทรงคุณมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

           (๔) สมชีวิตา มีความเป็นอยู่เหมาะสม คือรู้จักกำหนดรายได้และรายจ่าย เลี้ยงชีวิตแต่พอดี มิให้ฝืดเคืองหรือฟูมฟาย ให้รายได้เหนือรายจ่าย มีประหยัดเก็บไว้

           ท่านเรียกว่า ทิฏจธมมิกตถสํวุตตนิกธมม อำนวยประโยชน์สุขเบื้องต้นสุขการมี การจ่าย ไม่มีหนี้ ไม่มีโทษ (อํ.อฏฐก. ๒๓/๑๔๔/๒๘๙)


           ๒. การผลิตในแง่พุทธ

           (๑) ผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องมีธรรมะตามหลักทิศ ๖

           (๒) การผลิตต้องถือหลักสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา

           (๓) ผลิตมาก กินเก็บแต่พอดี เหลือเอาไปช่วนเหลือเพื่อนมนุษย์นี่คืออุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของชาวพุทธ ที่ช่วยโลกได้


           ๓. การบริโภคในแง่ชาวพุทธ

           จะต้องบริโภคด้วยโยนิโสมนสิการ ด้วยทฤษฎีคุณค่าแท้ - คุณค่าเนียมตามหลักพิจารณาด้วยปัญญา - ปฏิสังขา โยนิโส ฯลฯ

           การบริโภคที่จะเกิดอัตถประโยชน์ที่สมบูรณ์นั้นจะต้องประกอบด้วยพอใจ ๓ ขั้นคือ

           อัตถประโยชน์ชั้นต้น = กามฉันทะ

           อัตถประโยชน์ชั้นกลาง = กุศลฉันทะ

           อัตถประโยชน์ชั้นสูง = ธัมมฉันทะ


           ๔. การแบ่งปันแบบชาวพุทธ

           (๑) ไม่ขายของที่มีพิษมีโรค

           (๒) แลกเปลี่ยนสิ่งของด้วยยุติธรรม

           (๓) ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มนีโอคลาสิก ที่ว่า ทุนต่ำ กำไรสูง แต่มุ่งคุณค่าคุณประโยชน์ คุณภาพ

           (๔) ใช้หลักสังคหวัตถในสังคม คือ

           ทาน - Share

           ปิยวาจา - Pleasat Speech

           อัตถจริยา - Creative Thinking

           สมานัตตตา - Participation


           ๕. แบ่งตามหลักพลี ๕ อย่าง คือ

           (๑) เลี้ยงมารดาบิดาครอบครัวให้เป็นสุข

           (๒) เลี้ยงมิตรสหาย ร่วมกิจการ

           (๓) ป้องกันอันตราย (๔) ทำพลี ๕ ญาติ อถิติ ปุพเปต ราชพลี เทวตา

           (๕) อุปถัมภ์นักบวชที่ดี (อํ.ปญฺจก. ๒๒/๔๑/๔๘)

 
          ๖. โภควิภาค ๔

           เอเกน โภเค ภุญฺเชยฺย      พึงบริโภคส่วนหนึ่ง

           ทวีหิ กมฺมํ ปโยชเย        พึงประกอบการงานด้วยทรัพย์สองส่วน

           จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย        พึงเก็บไว้เพื่อใช้ในคราวฉุกเฉินหนึ่ง


           ๕. รัฐสวัสดิการ

           ผู้นำต้องมีจักรวรรดิวัตร ผู้ตามต้องมี กุศลกรรมบถ

           จักรวรรดิวัตร คือ

           ๑. ธรรมาธิปไตย เคารพนับถือบูชายำเกรงธรรม ยึดธรรมเป็นหลักเป็นธงชัย เป็นใหญ่ โดยจัดการรักษาป้องกัน และคุ้มครองอันชอบธรรมและเป็นธรรม แก่

           ก. อันโตชน ชนภายใน

           ข. พลกาย ฝ่ายทหาร

           ค. ขัตติยะ ฝ่ายทูต

           ง. อนุยนต์ ข้าราชการบริพาร ข้าราชการพลเรือนทั้งหมด

           จ. พราหมณ์ คฤหบดี นักวิชาการ หมอ พ่อค้า และเกษตรกรช่วยจัดหาทุนและอุปกรณ์ให้

           ฉ. เนคมชนบท ราษฎรทั้งปวงทั้งในกรุงและชายแดนไม่ทอดทิ้ง

           ช. สมณพราหมณ์

           ญ. มิคปักษี ให้ความคุ้มครองแก่สัตว์อันควรสงวน

           ๒. มา อธรรมการ ป้องกันแก้ไขสิ่งชั่วร้ายมิให้เกิดขึ้นในอาณาเขต

           ๓. ธนานุประทาน ปันเฉลี่ยทรัพย์ให้แก่คนยากไร้ มิให้ขัดสนในแว่นแคว้นกระจายรายได้

           ๔. สมณพราหมณปริปุจฉา รู้จักปรึกษารอบคอบปัญหากับสมณะ และพราหมณ์ นักปราชญ์ นักวิชาการที่มีคุณธรรมจักรวรรดิสูตร (ที.ปา. ๑๑/๓๕/๖๕)

           กุศลกรรมบท ๑๐ คือ

           ๑. กายกรรมที่เป็นสุจริต ๓

           ๒. วจีกรรมที่เป็นสุจริต ๔

           ๓. มโนกรรมที่เป็นสุจริต ๓

           ธรรมจริยา ๑๐ (ม.มู. ๑๒/๔๘๕/๕๒๓.)

           แบ่งรายละเอียดดังนี้.-

           ๑. เว้นจากการฆ่า

           ๒. เว้นจากการลัก

           ๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม

           ๔. เว้นจากการพูดเท็จ

           ๕. เว้นจากการพูดส่อเสียด

           ๖. เว้นจากการพูดคำหยาบ

           ๗. เว้นจากการพูดไร้สาระ

           ๘. เว้นจากความโลภ

           ๙. เว้นจากพยาบาท

           ๑๐. เว้นจากความเห็นผิด



คัดมาจาก
           http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Critical/05.htm




เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ Buddhist Economics โดย พระธรรมปิฏก ปอ.ปยุตโต

วันนี้ ทางคณะผู้จัดงานได้ตั้งชื่อเรื่องปาฐกถาให้อาตมภาพว่า เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ เริ่มต้นผู้ฟังบางท่านก็อาจจะสงสัยว่าเศรษฐศาสตร์แนวพุทธนั้นมีจริงหรือเป็นไปได้จริงหรือ


           ปัจจุบันนี้ วิชาเศรษฐศาสตร์ที่เรารู้จักกันอยู่ เป็นวิชาเศรษฐศาสตร์แบบตะวันตก เมื่อพูดถึงเศรษฐศาสตร์และเรื่องราวเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์ เราก็ใช้ภาษาเศรษฐศาสตร์แบบตะวันตก เมื่อคิดถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์ เราก็คิดในกรอบความคิดของเศรษฐศาสตร์แบบตะวันตกด้วย ดังนั้น ถ้าจะมาพูดถึงเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ ก็ยากที่จะทำตัวเองให้พ้นออกไปจากกรอบความคิดของเศรษฐศาสตร์และภาษาเศรษฐศาสตร์แบบตะวันตกนั้น เพราะฉะนั้นการพูดถึงเศรษฐศาสตร์แนวพุทธก็อาจจะเป็นการพูดถึงพระพุทธศาสนาด้วยภาษาเศรษฐศาสตร์ตะวันตก ภายในกรอบความคิดของเศรษฐศาสตร์ตะวันตกนั้นเอง

           อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าให้เราลองมาช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้ บางทีอาจจะได้รับข้อคิดบางอย่าง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเศรษฐศาสตร์แนวพุทธจริง ก็อาจจะมีแนวคิดทางพุทธบางอย่างที่เอามาใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐศาสตร์ได้บ้าง

           เมื่อประมาณ 18 ปีมาแล้ว นักเศรษฐศาสตร์ฝรั่งคนหนึ่งชื่อว่า นาย อี.เอฟ ชูมาเกอร์ (E.F. Schumacher) ได้พิมพ์หนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Small Is Beautiful มีผู้แปลเป็นภาษาไทยดูเหมือนจะใช้ชื่อว่า จิ๋วแต่แจ๋ว ในหนังสือเล่มนี้ บทหนึ่งคือ บทที่ 4 ได้ตั้งชื่อว่า "Buddhist Economics" แปลว่า เศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ หนังสือเล่มนี้ และโดยเฉพาะบทความบทนี้ ได้ทำให้คนจำนวนมากทั้งในตะวันออก และตะวันตกเกิดความสนใจในเรื่องพุทธศาสนาด้านที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจขึ้นมา จึงนับว่าท่านชูมาเกอร์นี้เป็นผู้มีอุปการคุณอย่างหนึ่ง ในการที่ทำให้เกิดความสนใจพุทธศาสนาในแง่เศรษฐศาสตร์ขึ้น

           แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปอีก การที่ท่านชูมาเกอร์ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นโดยมีบทความเรื่องเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธนั้น และการที่ฝรั่งในสถานศึกษาต่างๆ หันมาสนใจเรื่องพุทธเศรษฐศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์แนวพุทธนี้ ก็มีภูมิหลังที่ว่า มาถึงปัจจุบันนี้วิทยาการ และระบบการต่างๆของตะวันตก ได้มาถึงจุดหนึ่งที่เขาเกิดความรู้สึกกันว่ามีความติดตัน หรือความอับจนเกิดขึ้น หรือสำหรับบางคนอาจจะไม่ยอมรับภาวะนี้ ก็อาจจะเรียกว่ามาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อจุดหนึ่ง ที่อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดและวิธีปฏิบัติในวิทยาการสาขาต่างๆ คือมีความรู้สึกกันว่า วิชาการต่างๆ ที่ได้พัฒนากันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาของโลกและชีวิตให้สำเร็จได้ จะต้องมีการขยายแนวความคิดกันใหม่หรือหาช่องทางกันใหม่

           เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้กันขึ้น ก็จึงมีการแสวงหาแนวความคิดที่นอกจากวงวิชาการของตนออกไป อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการสนใจในพุทธศาสนารวมทั้งปรัชญาอะไรต่ออะไรเก่าๆ โดยเฉพาะที่เป็นของตะวันออกขึ้นด้วย อันนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นกันชัดเจนในประเทศตะวันตกปัจจุบัน ที่ว่าได้หันมาสนใจตะวันออก ทีนี้ การที่ชูมาเกอร์จับหลักการของพุทธธรรมโดยพูดถึง Buddhist economics หรือพุทธเศรษฐศาสตร์นั้น เขาก็จับเอาที่เรื่องมรรคนั่นเอง มรรคนั้นเรารู้จักกันว่าเป็นข้อหนึ่งในอริยสัจ 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคนั้นเป็นข้อปฏิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนา



อ่านเพิ่มเติม>>>
           http://www.geocities.com/econ_10330/Buddhist_econthai.html
           http://www.suwalaiporn.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=573368&Ntype=6





back>>