| ปัญหาเรื่องการนับครั้งในการทำสังคายนา
ในปัจจุบันนี้
ทางประเทศพม่าถือว่า ตั้งแต่เริ่มแรกมามีการทำสังคายนารวม
6 ครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 6 พม่าจัดทำเป็นการใหญ่
ในโอกาสใกล้เคียงกับงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ
แล้ว ฉลองพร้อมกันทีเดียว แต่ตามหลักฐานของพระเถระฝ่ายไทย
ผู้รจนาหนังสือเรื่องสังคีติยวงศ์ หรือประวัติศาสตร์การสังคายนากล่าวว่า
สังคายนามี ๙ ครั้ง รวมทั้งครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงกระทำในรัชสมัยของพระองค์ คือการสอบทานแก้ไขพระไตรปิฎก
แล้ว จารลงในใบลานเป็นหลักฐาน โดยอาศัยหลักฐานจากวินัยปิฎกเล่ม
๗ พร้อมทั้งอรรถกถา จากหนังสือมหาวงศ์ สังคีติยวงศ์
และบทความของท่าน B. Jinahanda ในหนังสือ
2500 Years of Buddhism ซึ่งพิมพ์ในโอกาสฉลอง
๒๕ พุทธศตวรรษในอินเดียและหนังสืออื่นๆ อาจรวมการทำ
สังคายนาและปัญหาเรื่องการนับครั้งเป็นหัวข้อได้ดังนี้
๑.
การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไป
๒. การนับครั้งสังคายนาของลังกา
๓. การนับครั้งสังคายนาของพม่า
๔. การนับครั้งสังคายนาของไทย
๕. การสังคายนาของฝ่ายมหายาน
๑. การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไป
คือสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งทำในอินเดีย
อันเป็นของฝ่ายเถรวาท กับอีกครั้งหนึ่งในอินเดียภาคเหนือ
ซึ่งพระเจ้ากนิษกะทรงอุปถัมภ์ อันเป็นสังคายนาผสม
รวมเป็น ๔ ครั้ง แต่ฝ่ายเถรวาทมิได้รับรู้ในการสังคายนาครั้งที่
๔ นั้น เพราะการ สืบสายศาสนานั้นแยกกันคนละทาง
ตลอดจนภาษาที่รับรองคัมภีร์ทางศาสนาก็ใช้ต่างกัน
คือเถรวาทหรือศาสนาพุทธแบบที่ไทย พม่า ลังกา
เขมร ลาว นับถือใช้ภาษาบาลี ส่วนของฝ่ายมหายาน
หรือศาสนาพุทธแบบที่ญี่ปุ่น จีน ทิเบต ญวนและเกาหลีนับถือ
ใช้ภาษาสันสกฤต การสังคายนาครั้งที่ ๑ กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา
ข้างเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุง ราชคฤห์ ประเทศอินเดีย
พระมหากัสสปเถระเป็นประธานและเป็นผู้สอบถาม
พระอุบาลีเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางวินัย พระอานนท์เป็นผู้ตอบข้อซักถามทางธรรม
มีพระอรหันต์ประชุมกัน ๕๐๐ รูป กระทำอยู่
๗ เดือนจึงสำเร็จ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นผู้อุปถัมภ์
สังคายนาครั้งนี้ กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้วได้
๓ เดือน
การสังคายนาครั้งที่ ๒ กระทำที่วาลิการาม
เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย พระยสะ
กากัณฑกบุตร เป็นผู้ชักชวนพระเถระที่เป็นผู้ใหญ่ร่วมมือในการนี้
มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๗๐๐ รูป กระทำอยู่ ๘ เดือนจึงแล้วเสร็จ
สังคายนาครั้งนี้กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
๑๐๐ ปี
การสังคายนาครั้งที่ ๓ กระทำที่อโศการาม กรุงปาตลีบุตร
ประเทศอินเดีย พระโมคคลี บุตรติสสเถระเป็นหัวหน้า
มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๑,๐๐๐ รูป กระทำอยู่ ๙
เดือนจึงแล้วเสร็จ สังคายนาครั้งนี้กระทำหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
๒๓๔ ปี เมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้วก็ ได้ส่งคณะฑูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ
รวมทั้งพระมหินทเถระ ผู้เป็นโอรส พระเจ้าอโศก
มหาราช ได้นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลังกาเป็นครั้งแรก
การสังคายนาครั้งที่ ๔ เป็นการสังคายนาผสมระหว่างนิกายสัพพัตถิกวาทกับฝ่าย
มหายาน กระทำกันในอินเดียภาคเหนือ ด้วยความอุปถัมภ์ของพระเจ้ากนิษกะ
ประมาณ พ.ศ. ๖๔๓ ณ เมืองชาลันธร แต่หลักฐานเรื่องสถานที่
และรายละเอียดอื่นๆ นั้น ปรากฏหลักฐาน ในที่ต่างๆ
ไม่ตรงกัน รวมทั้งเหตุของการสังคายนาด้วย
เช่น บางแห่งกล่าวว่าสังคายนาครั้งนี้ไม่เป็นการสังคายนา
แต่เป็นการประชุมเพื่อให้มาโต้แย้งกับภิกษุเฮี่ยนจัง
๒. การนับครั้งสังคายนาของลังกา
หลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๓ พระมหินทเถระ
ก็เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาใน ลังกา และในปี
พ.ศ. ๒๓๘ ก็ได้ทำสังคายนาในลังกา นับเป็นสังคายนาครั้งแรกในลังกา
เหตุผลที่ อ้างในการทำสังคายนาครั้งนี้ก็คือ
เพื่อให้พระศาสนาตั้งมั่น แต่เพราะการสังคายนาครั้งนี้ห่างจาก
ครั้งที่ ๓ ในอินเดีย ประมาณ ๓-๔ ปี บางมติจึงไม่ยอมรับเป็นสังคายนาลังกา
ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเช่นเดียวกับประเทศไทย
ได้รับรองการสังคายนาทั้ง ๓ ครั้งแรกใน อินเดีย
แต่ไม่รับรองสังคายนาครั้งที่ ๔ การสังคายนาครั้งที่
๒ ในลังกา กระทำเมื่อ พ.ศ. ๔๓๓ เพื่อจารึกพระพุทธวจนะลงใน
ใบลาน มีจารึกว่าสังคายนาครั้งนี้กระทำที่อาโลกเลณสถาน
ณ มตเลชนบท การสังคายนาครั้งนี้ได้ รับการรับรองโดยมติทั่วไป
การสังคายนาครั้งที่ ๓ ในลังกา กระทำเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๐๘ ที่รัตนปุระ ในลังกา การ สังคายนาครั้งนี้
น่าจะไม่มีใครรู้กันมากนัก นอกจากเป็นบันทึกของชาวลังกาเอง
๓. การนับสังคายนาของพม่า
การสังคายนาครั้งแรกในพม่า ต่อจากสังคายนาของลังกาที่จารึกลงในใบลาน
สังคายนา ครั้งแรกของพม่านี้มีการจารึกพระไตรปิฎกลงบนแผ่นหินอ่อน
๗๒๙ แผ่น ณ เมืองมันดเล ด้วย การอุปถัมภ์ของพระเจ้ามินดง
ใน พ.ศ. ๒๔๑๔ มีพระสงฆ์และพระอาจารย์ผู้แตกฉานในพระปริยัติธรรมร่วมประชุม
๒,๔๐๐ ท่าน กระทำอยู่ ๕ เดือนจึงสำเร็จ
สังคายนาครั้งที่ ๒ ในพม่า หรือที่พม่านับว่าเป็นครั้งที่
๖ เริ่มใน พ.ศ. ๒๔๙๗ และ สำเร็จใน พ.ศ. ๒๔๙๙
โดยปิดงานร่วมกับการฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ การสังคายนาครั้งนี้มุ่ง
พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นข้อแรก แล้วจะจัดพิมพ์อรรถกถาและคำแปลเป็นภาษาพม่าโดยลำดับ
เมื่อเสร็จแล้ว ได้แจกจ่ายพระไตรปิฎกฉบับอักษรพม่าไปในประเทศต่างๆ
รวมทั้งประเทศไทยด้วย
๔. การนับสังคายนาของไทย
การสังคายนาในประเทศไทยซึ่งเรานับว่าเป็นครั้งที่
๘ ในประวัติการสังคายนานั้น กระทำ เมื่อ พ.ศ.
๒๐๒๐ โดยพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงไตรปิฎกหลาย
ร้อยรูป ให้ช่วยชำระอักษรพระไตรปิฎกในวัดโพธาราม
(วัดเจ็ดยอด) เป็นเวลา ๑ ปี
การสังคายนาครั้งที่ ๙ หรือครั้งที่ ๒ ในประเทศไทย
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงอาราธนาพระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตาจารย์อุบาสก
๓๒ คน ชำระพระไตรปิฎกสำเร็จใน ๕ เดือน
๕. การสังคายนาของฝ่ายมหายาน
ตามหนังสือพุทธประวัติและประวัติสังฆมณฑลสมัยแรกตามฉบับของทิเบต
ซึ่งชาวต่าง ประเทศได้แปลไว้เป็นภาษาอังกฤษสรุปได้ว่า
ฝ่ายมหายานได้รับรองการสังคายนา ครั้งที่
๑ และ ครั้งที่ ๒ ในอินเดียตามที่ได้กล่าวมาแล้วร่วมกัน
โดยเหตุที่คัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
มักจะมีอะไรต่ออะไรต่างออกไปจากของเถรวาท
เมื่อเกิดมีปัญหาว่าคัมภีร์เหล่านั้นมีมาอย่างไร
ก็ มักจะมีคำตอบว่า มีการสังคายนาของฝ่ายมหายาน
คัมภีร์เหล่านั้นเกิดขึ้นจากผู้ที่สังคายนาซึ่งเป็น
ผู้ทรงคุณวุฒิได้รู้ได้ฟังมาคนละสายกับฝ่ายเถรวาท
ซึ่งมักจะพาดพิงไปถึงสังคายนาครั้งที่ ๑ และ
ครั้งที่ ๒ คือมีคณะสงฆ์อีกฝ่ายหนึ่งทำสังคายนาแข่งขันกับอีกฝ่ายหนึ่ง
คือ
๑. เมื่อมีการสังคายนาครั้งแรกที่พระมหากัสสปเป็นประธาน
กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต
กรุงราชคฤห์นั้น มีคำกล่าวของฝ่ายมหายานว่า
ภิกษุทั้งหลายผู้มิได้รับเลือก ให้กระทำหน้าที่สังคายนาซึ่งมีพระมหากัสสสปเป็นประธาน
ได้ประชุมกันทำสังคายนาขึ้นอีกส่วน หนึ่ง
เรียกว่า สังคายนานอกถ้ำ และโดยเหตุที่ภิกษุผู้ทำสังคายนานอกถ้ำมีจำนวนมาก
จึงเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า สังคายนามหาสังฆิกะ
คือของสงฆ์หมู่ใหญ่ แต่หลักฐานของการสังคายนา
“นอกถ้ำ” ครั้งที่ ๑ นี้น่าจะเป็นการกล่าวสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับการสังคายนาครั้งที่
๒ หรือนัยหนึ่ง เอาเหตุการณ์ในสังคายนาครั้งที่
๒ ไปเป็นครั้งที่ ๑ คือ
๒. การสังคายนาของมหาสังฆิกะ มีเรื่องเล่าว่า
เมื่อภิกษุวัชชีบุตร ถือวินัยย่อหย่อน ๑๐
ประการ และพระยสะ กากัณฑกบุตร ได้ชักชวนคณะสงฆ์มาร่วมกันทำสังคายนา
ในขณะเดียวกัน พวกภิกษุวัชชีบุตร ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก
ก็ได้เรียกประชุมสงฆ์ถึง ๑๐,๐๐๐ รูป ทำสังคายนาของ
ตนเองที่เมืองกุสุมปุระ (ปาตลีบุตร) ให้ชื่อว่ามหาสังคีติ
คือ มหาสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดนิกาย มหาสังฆิกะ
ซึ่งแม้จะยังไม่นับว่าเป็นมหายานโดยตรง แต่ก็นับได้ว่าเป็นเบื้องต้นแห่งการแตกแยก
จากฝ่ายเถรวาท มาเป็นมหายานในกาลต่อมา
คัดมาจาก: (ย่อความจาก “ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก”
โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ จากหนังสือ “100 ปี
มหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๔๓๖-๒๕๓๖”)
http://mahamakuta.inet.co.th/tipitaka/tipitaka2/tipi~224.html
http://www.heritage.thaigov.net/religion/tripitok/tripitok.htm
http://www.nkgen.com/472.htm
http://www.geocities.com/sungkayana/
http://watmai.atspace.com/tipitaka_7.htm
http://www.mettadham.ca/triple%20gem_1.htm
|