มูลเหตุของการสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นอย่างไร
สมัยพุทธกาล
การรวบรวมคำสอนของพระพุทธศาสนาเริ่มมีขึ้นเมื่อครั้งที่นิครนถนาฏบุตร
ศาสดาของศาสนาเชนสิ้นชีวิตลง และสาวกของท่านไม่ได้เก็บรวบรวมคำสอนไว้
ทำให้เหล่าผู้นับถือศาสนาเชนจึงเกิดการแตกแยก
และถกเถียงกันว่าแท้จริงแล้วศาสดาของตนสอนไว้เช่นไร
พระจุนทเถระทราบเรื่องจึงนำความขึ้นกราบทูลพระพุทธเจ้า
พระองค์จึงได้ตรัสแนะนำให้พระสงฆ์ทั้งปวงร่วมกันทำสังคายนา
เพื่อรักษาคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป
เมื่อพระสารีบุตรทราบถึงเรื่องราวปัญหาของศาสนาเชน
ก็ได้แสดงวิธีสังคายนาไว้เป็นตัวอย่างต่อหน้าที่ประชุมคณะสงฆ์
โดยรวบรวมข้อธรรมต่างๆ ให้อยู่ตามลำดับหมวด
ตั้งแต่หมวดหนึ่ง ไปจนถึงหมวดสิบ เมื่อพระสารีบุตรแสดงธรรมจบแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานสาธุการแก่หลักธรรมที่พระสารีบุตรแสดงไว้
ทั้งนี้ ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพระไตรปิฎก
แต่ก็มีคำเรียกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า
พฺรหฺมจริย หรือพรหมจรรย์ และ ธมฺมวินย หรือธรรมวินัย
การสังคายนาครั้งที่
1 ที่ชมพูทวีป
การทำสังคายนาครั้งแรกเกิดขึ้นภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
3 เดือน ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเวภารบรรพต
ใกล้กรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ในพระราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู
โดยมีพระมหากัสสปเถระทำหน้าที่เป็นประธาน
และเป็นผู้คอยซักถาม มีพระอุบาลีเป็นผู้นำในการวิสัชนาข้อวินัย
และมีพระอานนท์เป็นผู้นำในการวิสัชนาข้อธรรม
การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระอรหันต์มาประชุมร่วมกันทั้งหมด
500 รูป ดำเนินอยู่เป็นเวลา 7 เดือน จึงเสร็จสิ้น
ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนาครั้งนี้
มูลเหตุการสังคายนา
1. มูลเหตุในการทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นมีภิกษุอยู่รูปหนึ่งชื่อสุภัททะ
กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะร้องไห้กันไปทำไม
เมื่อสมัยที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระองค์ทรงเข้มงวดกวดขัน
คอยชี้ว่านี่ถูก นี่ผิด นี่ควร นี่ไม่ควร
ทำให้พวกเราลำบาก บัดนี้พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว
พวกเราจะได้ทำอะไรตามใจชอบเสียที เมื่อพระมหากัสสปเถระได้ฟังดังนี้ก็รู้สึกสลดใจ
ดำริว่าแม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปใหม่ๆ ยังปรากฏผู้มีใจวิปริตจากธรรมวินัยถึงเพียงนี้
ถ้าปล่อยไว้นานเข้า คำสอนทางพระพุทธศาสนาอาจถูกบิดเบือนไปได้
2. เพื่อความยั่งยืนของพระธรรมวินัย และความถูกต้อง
3. เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
ข้อกำหนดในการสังคายนา
ในการสังคายนามีข้อกำหนดที่สามารถเป็นเหตุผลยืนยันถึงความจริงความถูกต้องของพระธรรมวินัย
ดังนี้
1. ผู้เข้าร่วมสังคายนาต้องเป็นพระอรหันต์
และต้องมีปฏิสัมภิทา 4 ( เป็นความเชี่ยวชาญเกิดจากปริยัติธรรม
ได้แก่ 1. เชี่ยวชาญในสารประโยชน์ 2. เชี่ยวชาญในหลักธรรม
3. เชี่ยวชาญในภาษา 4. มีความเชี่ยวชาญในการมีไหวพริบ)
และต้องมีอภิญญา 6 (เป็นคุณธรรมพิเศษที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมจนได้ฌาน
ได้แก่ 1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ 2. ทิพพจักขุ
มีตาทิพย์ 3. ทิพพโสต มีหูทิพย์ 4. เจโตปริยญาณ
การล่วงรู้จิตใจผู้อื่น 5. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
การระลึกชาติได้ 6. อาสวักขยญาณ การหลุดพ้นจากอาสวะ
2. จะต้องทำสังคายนาที่กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
เพราะเป็นแคว้นใหญ่ พระเจ้าอชาตศรัตรูกำลังเรืองอำนาจ
และที่นั่นก็มีพระเถระหลายรูป
3. เพื่อขอให้พระเจ้าอชาตศรัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์เพื่อความราบรื่นในการสังคายนา
http://www.dhammathai.org/buddha/g834.php
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/sangkayana.html
http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m1/unit1/no1.php
th.wikipedia.org/wiki/การสังคายนาพระธรรมวินัยในพุ
... - 89k
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=10074
การสังคายนาครั้งที่ 2 ที่ชมพูทวีป
การทำสังคายนาครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.
100 ที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี
ประเทศอินเดีย โดยมีพระยสะ กากัณฑกบุตร เป็นผู้ชักชวน
พระเถระผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมทำสังคายนาครั้งนี้ได้แก่
พระสัพพกามี พระสาฬหะ พระอุชชโสภิตะ พระวาสภคามิกะ
(ทั้งสี่รูปนี้เป็นชาวปาจีนกะ) พระเรวตะ พระสัมภูตะ
สาณวาสี พระยสะ กากัณฑกบุตร และพระสุมนะ (ทั้งสี่รูปนี้เป็นชาวปาฐา)
ในการนี้พระเรวตะทำหน้าที่เป็นประธานผู้คอยซักถาม
และพระสัพพกามีเป็นผู้นำในการวิสัชนาข้อวินัย
การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน
700 รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 8 เดือน จึงเสร็จสิ้น
ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนาครั้งนี้
มูลเหตุการสังคายนา
ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ
พระยสะ กากัณฑกบุตร พบเห็นข้อปฏิบัติย่อหย่อน
10 ประการทางพระวินัยของภิกษุวัชชีบุตร เช่น
ควรเก็บเกลือไว้ในเขาสัตว์เพื่อรับประทานได้
ควรฉันอาหารยามวิกาลได้ ควรรับเงินทองได้
เป็นต้น พระยสะ กากัณฑกบุตรจึงชวนพระเถระต่างๆ
ให้ช่วยกันวินิจฉัย แก้ความถือผิดครั้งนี้
เหตุการณ์ในการสังคายนาและผลที่ตามมาคือการแบ่งแยกเป็นนิกายต่างๆ
18 นิกาย
ในที่ประชุม สังคายนา ได้พิจารณาข้อบัญญัติ
10 ประการ เหล่านั้น ว่า ข้อวัตรของภิกษุ
ฝ่ายตะวันออก ไม่ถูกต้อง ตามพระวินัย การกระทำเช่นนี้
ไม่ลงรอยกับ พระปาฏิโมกข์ บ่อนทำลาย ความมั่นคงของ
พระพุทธศาสนา ที่ประชุมสังคายนา ในครั้งนั้น
ให้กำจัด ข้อบัญญัติ 10 ประการ เหล่านั้น
ออกไป ในการลงมติ พระภิกษุวัชชีบุตร ภิกษุชาวเมืองเวสาลี
ไม่เห็นชอบด้วย ไม่พอใจ จึงได้จัดทำ สังคายนาขึ้นเอง
ต่างหาก เรียกว่า “มหาสังคีติ” และพระภิกษุฝ่ายนี้
เรียกว่า “มหาสังฆิกะ” ส่วนภิกษุฝ่ายตะวันตก
ได้นามว่า “เถรวาทิน” การเปลี่ยนแปลง ที่ยิ่งใหญ่
ในสังฆมณฑล เริ่มก่อตัวขื้นแล้วจากสถาณการณ์นี้
ฝ่ายสังฆิกะ ยังคงมีกำลังอยู่ ในเมืองเวสาลี
และได้จัดส่ง พระภิกษุในฝ่ายตน ไปทางเหนือและใต้
หลังจากนั้น พระพุทธศาสนา ได้มีการแบ่งแยก
ออกเป็นกลุ่มเล็ก เมื่อแตกแยก ครั้งหนึ่งแล้ว
ก็ทำให้เกิด การแตกแยก ครั้งต่อๆไป สังฆมณฑล
แห่งพระพุทธศาสนา จึงได้แตกออก เป็นนิกายย่อยๆ
อีกเป็นจำนวนมาก ภายในระยะเวลาอันสั้น ฝ่ายที่ยึดมั่น
อยู่กับพระธรรมวินัย แตกแยกออก เป็นนิกายย่อยถึง
11 นิกาย คือ เถรวาทะ (หรือ อรยสถวีรวาทะ)
วัชชีปุตตกะ มหิสาสกะ ธรรมมุตตริกะ (ธรรมคุปตะ)
สัพพัตถิกวาทะ (สรวาสติวาทะ) กัสสปิกะ (กาศยปิยะ)
สังกันติกะ (เสาตรานติกะ) สุตวาทะ สัมมติยะ
(วาสสีปุตริยะ) ภัททยานิกะ และจันทคาริกะ
สำหรับ ฝ่ายที่ไม่ยึดมั่น ต่อพระธรรมวินัย
ได้แยกออกเป็น นิกายย่อย 7 นิกาย คือ นิกายมหาสังฆิกะ
โคกุริกะ (กุกกุริกะ) ปัญญัตติวาทะ (ปรัชญาปติวาทะ)
พหุสสุติกะ (พหุศรุติยะ) เจติยวาทะ เอกัพโยหาระ
(เอกวยวหาริกะ) อุตรเสสิย
จากสิบแปดนิกายนี้ เมื่อเวลาล่วงไปๆ ก็เกิดเป็นนิกายย่อยๆ
ขึ้นอีกหลายนิกาย เมื่อพระภิกษุเหล่านี้ แยกย้ายกันไปทั่วอินเดีย
และประเทศใกล้เคียง นิกายเหล่านี้ จึงไปเจริญรุ่งเรือง
ขึ้นในที่นั้นๆ.
คัดบางตอนมาจาก
(http://www.pharm.chula.ac.th/computer/web_india_2/idia1_c_01_wasale/23_wasale2.htm)
รายละเอียดของปฐมสังคายนาและการสังคายนาครั้งที่สอง
มีกล่าวถึงในพระวินัยปิฎก จุลลวรรค แม้ในวินัยปิฎกจะไม่กล่าวถึงคำว่าพระไตรปิฎกในการปฐมสังคายนาและการสังคายนาครั้งที่สองเลย
แต่ในสมันตัปปาสาทิกา ซึ่งเป็นอรรถกถาอธิบายวินัยปิฎกนั้น
บอกว่าการจัดหมวดหมู่คำสอนของพระพุทธศาสนาให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างพระไตรปิฎกนั้น
มีมาตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนาแล้ว
การสังคายนาครั้งที่ 3 ที่ชมพูทวีป
การทำสังคายนาครั้งที่สามเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.
235 ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย
โดยมีพระโมคคลีบุตร ติสสเถระ เป็นประธาน การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน
1,000 รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 9 เดือน
จึงเสร็จสิ้น ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนาครั้งนี้
มูลเหตุสังคายนา
ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ
มีพวกเดียรถีย์ หรือนักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวช
ด้วยเห็นแก่ลาภสักการะ และเพื่อบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา
ได้แสดงลัทธิและความเห็นของตนว่า "เป็นพระพุทธศาสนา
เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า" พระโมคคลีบุตร
ติสสเถระ จึงได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชสังคายนาพระธรรมวินัยเพื่อกำจัดความเห็นของพวกเดียรถีย์ออกไป
การสังคายนา
ในการทำสังคายนาครั้งนี้ คงมีการซักถามพระธรรมวินัยและตอบข้อซักถามเช่นเดียวกับการสังคายนาครั้งก่อน
แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดว่า พระเถระรูปใดทำหน้าที่ซักถาม
รูปใดทำหน้าที่ตอบข้อซักถาม พระโมคคลีบุตร
ติสสเถระ ได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุ ซึ่งเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระอภิธรรมไว้ด้วย
และเมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้ว ก็มีการส่งคณะทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ
ในที่นี้มีพระมหินทเถระ ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช
ที่นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลังกา รวมทั้งพระโสณะเถระและพระอุตตระเถระ
ที่นำพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ยังดินแดนสุวรรณภูมิด้วย
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชให้มีการสอบสวน
สะสาง กำจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชประมาณ 60,000
รูป แล้วให้สละสมณเพศออกจากพระพุทธศาสนาได้สำเร็จ
ส่งพระธรรมทูตออกเผยแพร่ศาสนายังนานาประเทศ
หลังการสังคายนาได้มีการส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ
รวม 9 สายด้วยกัน โดยส่งไปสายละ 5 รูป เพื่อจะได้ทำพิธีอุปสมบทได้ถูกต้องตามพระวินัย
สายที่ 1 พระมัชฌัตติกเถระ พร้อมด้วยคณะรวม
5 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นกัศมีระและแคว้นคันธาระ
สายที่ 2 พระมหาเทวเถระ พร้อมด้วยคณะรวม 5
รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหิสมณฑล
และดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำโคธาวารี
สายที่ 3 พระรักขิตเถระ พร้อมด้วยคณะรวม 5
รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ วนวาลีประเทศ
สายที่ 4 พระธรรมรักขิตเถระ หรือพระโยนกธรรมรักขิตเถระ
(ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นฝรั่งคนแรกในชาติกรีกที่ได้เข้าบวชในพระพุทธศาสนา)
พร้อมด้วยคณะ ได้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ อปรันตกชนบท
สายที่ 5 พระมหาธรรมรักขิตเถระ พร้อมด้วยคณะรวม
5 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหาราษฎร์
สายที่ 6 พระมหารักขิตเถระ พร้อมด้วยคณะรวม
5 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ โยนกประเทศ
สายที่ 7 พระมัชฌิมเถระ พร้อมด้วยคณะอีก 4
รูป คือ 1. พระกัสสปโคตรเถระ 2. พระมูลกเทวเถระ
3. พระทุนทภิสสระเถระ และ 4. พระเทวเถระ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ณ ดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย
สายที่ 8 พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ พร้อมด้วยคณะอีก
3 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ
สายที่ 9 พระมหินทเถระ (โอรสพระเจ้าอโศกมหาราช)
พร้อมด้วยคณะรวม 4 รูป คือ 1. พระอริฏฐเถระ
2. พระอุทริยเถระ 3. พระสัมพลเถระ และ 4.
พระหัททสารเถระ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ลังกาทวีป
ในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ กษัตริย์แห่งลังกาทวีป
การสังคายนาครั้งที่ 4 ที่ชมพูทวีป เริ่มมีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษรบนแผ่นทองเหลือง
การทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ
พ.ศ. 643 ที่เมืองชาลันธร แต่บางหลักฐานก็กล่าวว่าทำที่กัศมีร์หรือแคชเมียร์
ตอนเหนือของประเทศอินเดีย เป็นการผสมผสานลักษณะของศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
พระเจ้ากนิษกะ ได้ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งนี้
หลักฐานทิเบตกล่าว่า มีพระอรหันตสาวก 500
รูป พระโพธิสัตว์ 500 และมีบัณฑิตอีก 500
เข้าร่วมในการทำสังคายนาครั้งนี้
การทำสังคายนาครั้งนี้กระทำโดยพระภิกษุฝ่ายสรติวาทินและพระภิกษุฝ่ายมหาสังฆิกะบางนิกายร่วมกัน
ฝ่ายเถรวาทจะไม่บันทึกถึงการสังคายนาครั้งนี้
แต่ประวัติศาสตร์โดยทั่วไปก็จารึกไว้ จึงเป็นสังคายนาที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่พุทธศาสนิกฝ่ายอุตรนิกาย
มูลเหตุการสังคายนา
พระปรารศวเถระได้แนะนำพระเจ้ากนิษกะ เพื่อการทำสังคายนาโดยมุ่งหวังที่จะปรับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาให้เป็นเอกภาพ
และประสงค์จะบันทึกคัมภีร์ฝ่ายสัพพัตถิกวาท
เป็นภาษาสันสกฤต และเพื่อทำให้พุทธศาสนาแบบมหายานมั่นคง
ผลจากการทำสังคายนา
1. มีการเขียนคำอธิบายพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาเป็นภาษาสันสกฤตปิฎกละ
100,000 โศลก รวม 300,000 โศลก กล่าวคือ พระสูตร
100,000 โศลก เรียกว่า อุปเทศศาสตร์ พระวินัย
100,000 โศลก เรียกว่า วินยวิภาษาศาสตร์ พระอภิธรรม
100,000 โศลก เรียกว่า อภิรรมวิภาษาศาสตร์
2. มีการประสานความคิดระหว่างนิกายต่างๆ ทั้ง
18 นิกายแล้วจารึกอักษรคัมภีร์ทางศาสนาเป็นสันสกฤต
ครั้งแรก หลวงจีนยวนฉ่าง ได้กล่าวถึงการสังคายนาครั้งนี้ว่าได้มีการจารึกพระธรรมลงแผ่นทองเหลือง
และเก็บไว้ในหีบทำด้วยศิลา เพื่อเก็บรักษาไว้ในพระเจดีย์
ในการสังคายนาครั้งนี้ มหายานแยกตัวออกไปอย่างชัดเจนและเจริญรุ่งเรืองแพร่หลาย
มีพระสงฆ์และชาวพุทธสำคัญเป็นปราชญ์ เป็นที่ปรึกษา
เป็นกวีในราชสำนัก ทรงส่งสมณทูตไปประกาศพระศาสนาในอาเซียกลาง
ซึ่งทำให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปยัง จีน เกาหลี
มองโกเลีย และญี่ปุ่น ในสมัยต่อมาทรงสร้างสถูปและวัดวาอารามเป็นอันมาก
และเป็นสมัยที่ศิลปะแบบคันธาระ เจริญถึงขีดสุด
(พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย.
กรุงเทพฯ: ธรรมสภา 2540, หน้า 342)
การสังคายนาครั้งที่
1 ที่ลังกาทวีป
ในพ.ศ.238 หลังจากพระมหินทเถระและคณะออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลังกาทวีปประมาณ
3 ปี ได้มีการทำสังคายนาขึ้นที่ ถูปาราม เมืองอนุราธปุระ
ในประเทศศรีลังกา โดยมีองค์อุปถัมภ์ คือพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ
กษัตริย์แห่งลังกาทวีป ใช้เวลา10 เดือนจึงสำเร็จ
มูลเหตุของการสังคายนา
พระมหินทเถระประสงค์จะให้พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากมั่นคงในลังกาทวีป
เป็นการวางรากฐานให้พระสงฆ์ชาวลังกาท่องจำพระพุทธวจนะตามระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมในเวลานั้น
การสังคายนา
พระมหินทเถระเป็นประธาน พระอริฏฐเถระเป็นผู้สวดทบทวนหรือตอบข้อซักถามด้านพระวินัย
มีพระเถระรูปอื่นๆสวดทบทวนพระธรรม มีพระอรหันต์เข้าประชุมเป็นจำนวน
38 รูป พระเถระผู้จดจำพระไตรปิฎกอีกจำนวน
962 รูป
การสังคายนาครั้งที่ 2 ในลังกาทวีป
การทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.
433 ที่อาโลกเลนสถาน ณ มตเลชนบท ในประเทศศรีลังกา
โดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน องค์อุปถัมภ์คือพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย
การทำสังคายนาครั้งนี้เพื่อต้องการจารึกพระพุทธวัจนะเป็นลายลักษณ์อักษรลงในใบลาน
ใช้เวลา 1 ปี จึงสำเร็จ
มูลเหตุในการทำสังคายนา
ทางการคณะสงฆ์ชาวลังกาและทางราชการบ้านเมืองเห็นว่า
พระธรรมวินัยหรือพระพุทธวจนะที่ได้สังคายนาไว้นั้น
มีความสำคัญมาก นับเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา
หากจะพิทักษ์รักษาธรรมวินัยให้ดำรงอยู่สืบไปด้วยวิธีการท่องจำดังที่เคยถือปฏิบัติกันมา
ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะความจำของผู้บวชเรียนเสื่อมถอยลง
การสังคายนา
ในการสังคายนาครั้งนี้ พระรักขิตมหาเถระเป็นประธานและเป็นผู้ซักถามพระธรรมวินัย
พระติสสเถระเป็นผู้ตอบข้อซักถาม มีพระสงฆ์ผู้เป็นองค์พระอรหันต์
และพระสงฆ์ปุถุชนเข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์
จำนวนกว่า 1,000 รูป ได้จารึกพระธรรมวินัยหรือพระพุทธวจนะ
เป็นภาษามคธอักษรบาลีลงในใบลาน พร้อมทั้งคำอธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่า
อรรถกถา ซึ่งเดิมเป็นภาษามคธอักษรบาลี นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจารึกพระธรรมวินัยเป็นภาษามคธอักษรบาลีเป็นหลักฐาน
ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พระไตรปิฎกลายลักษณ์อักษร
จึงมีขึ้นเป็นฉบับแรกในพระพุทธศาสนา
การสังคายนาครั้งที่ 3 ในลังกาทวีป)
ในปี พ.ศ.956 ได้มีการทำสังคายนาพระธรรมวินัย
โดยการแปลและเรียบเรียงอรรถกถา (คัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎก)
ทำที่โลหปราสาท เมืองอนุราธปุระ ในลังกาทวีป
โดยมีพระพุทธโฆสเถระ ( พระพุทธโฆษาจารย์)
เป็นประธาน มีพระเจ้ามหานามเป็นองค์อุปถัมภ์
ใช้เวลา 1 ปี จึงสำเร็จ
มูลเหตุและการสังคายนา
พระพุทธโฆสะ ซึ่งเป็นพระมหาเถระชาวชมพูทวีป
ผู้เปรื่องปราดมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก
และนับเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลี
เห็นว่าคัมภีร์อรรถกถาแห่งพระไตรปิฎกนั้นมีสมบูรณ์
บริบูรณ์ เป็นภาษาสิงหล อยู่ในลังกาทวีป ท่านจึงเดินทางไปลังกาทวีป
ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้ามหานามเพื่อแปลและเรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถาจากภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ
เพื่อจะได้เป็นตันติภาษา (ภาษาที่มีแบบแผน)
สอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎก และจะได้เป็นประโยชน์กว้างขวางต่อไป
นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 3 ในลังกาทวีป
การสังคายนาครั้งที่ 4 ที่ลังกาทวีป
ในพ.ศ.1587 ลังกาทวีป (ที่โลหปราสาท เมืองอนุราธปุระ)
โดยมีพระเจ้าปรักกมพาหุเป็นองค์อุปถัมภ์ พระมหากัสสปเถระเป็นประธาน
พร้อมด้วยกรรมการสงฆ์จำนวนกว่า 1,000 รูป
ใช้เวลา 1 ปี จึงสำเร็จ
มูลเหตุและการสังคายนา
ทางการคณะสงฆ์อันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน
และทางราชการบ้านเมืองอันมีพระเจ้าปรักกมพาหุเป็นประมุข
เห็นว่าคัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งเรียกว่าปาลินั้น
เป็นภาษามคธอักษรบาลี คัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎกซึ่งเรียกว่าอรรถกถา
ก็ได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธ อันเป็นตันติภาษาสอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้ว
ส่วนคัมภีร์อธิบายอรรถกถาซึ่งเรียกว่า ฎีกา
และคัมภีร์อธิบายฎีกาซึ่งเรียกว่า อนุฎีกา
ยังมิได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธ ยังเป็นภาษาสิงหลบ้าง
เป็นภาษาสิงหลปะปนกับภาษามคธบ้าง ควรจะได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธให้หมดสิ้น
จึงได้ดำเนินการแปลและเรียบเรียงคัมภีร์ดังกล่าวเป็นภาษามคธ
เป็นตันติภาษา (ภาษาที่มีแบบแผน) เช่นเดียวกับคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา
นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 4 ในลังกาทวีป
เหตุการณ์สำคัญหลังสังคายนา
หลังจากที่ได้มีการสังคายนาไม่นาน พระเจ้าอนุรุทมหาราช
กษัตริย์กรุงอริมัททนปุระ (พุกาม) แห่งประเทศพม่า
ได้เสด็จไปลังกาทวีป และทรงจำลองคัมภีร์พระไตรปิฎก
พร้อมทั้งคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา นำมาประดิษฐานไว้ศึกษาเล่าเรียนในประเทศพม่า
ต่อแต่นั้นมา บรรดาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา
เช่น ไทย เขมร ก็ได้ส่งพระสงฆ์และราชบัณฑิตไปจำลองคัมภีร์พระไตรปิฎก
อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา นำมาประดิษฐานไว้ศึกษาเล่าเรียนในประเทศของตนบ้าง
การสังคายนาครั้งที่ 1 ที่ประเทศไทย
ในพ.ศ.2020 ได้มีการทำสังคายนาขึ้นที่วัดโพธาราม
ณ เมืองนพิสิกร คือ เมืองเชียงใหม่ ประเทศไทย
องค์อุปถัมภ์คือ พระเจ้าติโลกราช หรือพระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิดิลกราช
โดยมีประธานฝ่ายสงฆ์คือพระธรรมทินมหาเถระพร้อมด้วยการกสงฆ์
ใช้เวลา 1 ปี จึงสำเร็จ
มูลเหตุการสังคายนาและการสังคายนา
พระธรรมทินมหาเถระผู้เปรื่องปราดแตกฉานในพระไตรปิฎก
ได้พิจารณาเห็นว่าคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา
ฎีกา และอนุฎีกา ซึ่งมีอยู่ในเวลานั้นมีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่มาก
ด้วยการจำลองหรือคัดลอกกันต่อๆมาเป็นเวลาช้านาน
จึงเข้าเฝ้าถวายพระพรขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าติโลกราช
เมื่อได้รับการอุปถัมภ์แล้ว พระธรรมทินมหาเถระก็ได้เลือกพระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกประชุมกันทำสังคายนา
โดยการตรวจชำระพระไตรปิฎก พร้อมทั้งอรรถกถา
ฎีกา อนุฎีกา จารึกไว้ในใบลาน ด้วยอักษรธรรมของล้านนา
นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 1 ในอาณาจักรล้านนาหรือประเทศไทยในปัจจุบัน
ข้อที่น่าสังเกตก็คือ ตัวอักษรที่ใช้ใน การจารึกพระไตรปิฎกในครั้งนั้นคงเป็นอักษรแบบไทยลานนาคล้ายอักษรพม่า
มีผิดเพี้ยนกันบ้าง และพอเดาออกเป็นบางตัว
การสังคายนาครั้งที่ 2 ในประเทศไทย
ในปี พ.ศ.2331 ได้มีการทำสังคายนาข้นที่ วัดพระศรีสรรเพชญ์
ซึ่งปัจจุบันคือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย องค์อุปถัมภกคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จำนวน
218 รูป และมีราชบัณฑิตเป็นผู้ช่วยเหลือจำนวน
32 คน ใช้เวลา 5 เดือน จึงแล้วเสร็จ
มูลเหตุการสังคายนาและการสังคายนา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ทรงมีพระราชศรัทธาปรารถนาจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสืบไป
ได้ทรงทราบจากพระสงฆ์อันมีสมเด็จพระสังฆราชฯเป็นประธานว่า
เวลานั้นพระไตรปิฎกมีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนมาก
แม้พระสงฆ์จะมีความประสงค์จะทำนุบำรุงให้สมบูรณ์ก็ไม่มีกำลังพอจะทำได้
พระองค์จึงได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งปวงให้รับภาระในเรื่องนี้
ดังนั้น พระสงฆ์อันมีสมเด็จพระสังฆราชฯเป็นประธาน
จึงได้เริ่มทำการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎกพร้อมทั้งคัมภีร์ลัททาวิเสส
(คัมภีร์ไวยากรณ์บาลี) และได้จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรขอม
ซึ่งนับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 2 ในประเทศไทย
การสังคายนาครั้งที่ 3 ที่ประเทศไทย
ในปี พ.ศ.2431 ได้มีการสังคายนาขึ้น ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย องค์อุปถัมภกคือ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมี
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และสมเด็จพระสังฆราช
(สา ปุสฺสกเถระ) ครั้งยังเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นประธาน
มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์ จำนวน
110 รูป ใช้เวลา 6 ปี จึงสำเร็จ
มูลเหตุของการสังคายนา
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ได้
25 ปี ทรงปรารภจะบำเพ็ญพระมหากุศล ทรงเห็นว่าพระไตรปิฎกที่เขียนไว้ในใบลานไม่มั่นคง
ทั้งจำนวนก็มากยากที่จะรักษา และเป็นตัวขอม
ผู้ไม่รู้อ่านไม่เข้าใจ จึงมีพระราชศรัทธาให้พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มแบบฝรั่งขึ้นใหม่
โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส
และพระเถรานุเถระทั้งหลายช่วยกันชำระ โดยคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลาน
เป็นตัวอักษรไทย แล้วชำระแก้ไขและพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ
รวม 39 เล่ม เริ่มชำระและพิมพ์ตั้งแต่พ.ศ.2431
สำเร็จเมื่อพ.ศ.2436 จำนวน 1,000 ชุด นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทย
นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 3 ที่ทำในประเทศไทย
การสังคายนาครั้งที่ 4 ที่ประเทศไทย
การสังคายนาครั้งนี้มีขึ้น ในปี พ.ศ.2530
ณ พระตำหนักสมเด็จวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
(วาสนมหาเถระ) เป็นประธาน องค์อุปถัมภ์คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
เป็นองค์อุปถัมภ์ พร้อมด้วยรัฐบาล อันมีพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ใช้เวลา 2 ปี
จึงสำเร็จ
มูลเหตุการสังคายนา
โดยสมเด็จพระสังฆราชทรงดำริเห็นว่าพระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนานั้น
มีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่ อันเกิดจากความประมาทพลาดพลั้งในการคัดลอกและตีพิมพ์กันต่อๆมา
เห็นควรทำการสังคายนาพระธรรมวินัยตรวจสอบชำระให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
และตีพิมพ์ขึ้นเป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ปีพ.ศ.2530 จึงได้เจริญพรขอความอุปถัมภ์ไปยังรัฐบาลและถวายพระพรให้การสังคายนาครั้งนี้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์
เมื่อได้รับงบประมาณและพระบรมราชูปถัมภ์แล้ว
จึงได้ดำเนินการสังคายนา เริ่มแต่ปีพ.ศ.2528
และเสร็จสิ้นลงเมื่อปีพ.ศ.2530 นับเป็นการสังคายนาครั้งที่
4 ที่ทำในประเทศไทย
http://www.geocities.com/sungkayana/sungkayana5.html
http://www.pharm.chula.ac.th/computer/web_india_2/idia1_c_01_wasale/23_wasale2.htm
http://www.geocities.com/sakyaputto/councils.htm
http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/dhammathai/buddhism/india/index.php.htm
http://www.geocities.com/sungkayana/sungkayana4.html
http://mahamakuta.inet.co.th/tipitaka/tipitaka3/tipi~231.html
http://www.heritage.thaigov.net/religion/tripitok/tripitok.htm
|