การสังคายนา
หมายความว่าอย่างไร /ต้องเข้าใจให้ชัด แค่ไหนใช่ แค่ไหนไม่ใช่สังคายนา
วิธีการสังคายนา ที่เรียกว่าวิธีการร้อยกรองหรือรวบรวมพระธรรมวินัย
หรือประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือ นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงในที่ประชุม
แล้วก็มีการซักถามกัน จนกระทั่งที่ประชุมลงมติว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน
เมื่อได้มติร่วมกันแล้วในเรื่องใด ก็ให้สวดพร้อมกัน
การสวดพร้อมกันนั้น แสดงถึงการลงมติร่วมกันด้วย
และเป็นการทรงจำกันไว้อย่างนั้นเป็นแบบแผนต่อไปด้วยหมายความว่า
ตั้งแต่นั้นไป คำสอนตรงนั้นก็จะทรงจำไว้อย่างนั้น
เมื่อจบเรื่องหนึ่งก็สวดพร้อมกันครั้งหนึ่ง
อย่างนี้เรื่อยไป ใช้เวลาถึง ๗ เดือน
การสวดพร้อมกันนั้นเรียกว่า สังคายนา เพราะคำว่า
“สังคายนา” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สังคีติ”
แปลว่า สวดพร้อมกันคายนา หรือคีติ (เทียบกับคีต
ในคำว่าสังคีต) แปลว่าการสวด สํ แปลว่าพร้อมกันก็คือสวดพร้อมกัน
สังคายนา ถ้าเป็นชาวบ้านก็ร้องเพลงพร้อมกัน
คัดมาจาก
http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_20.htm
สังคายนา ก็คือการรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้
แล้วทรงจำไว้เป็นแบบแผนอันเดียวกัน คือรวบรวมไว้เป็นหลัก
และทรงจำถ่ายทอดสืบมาเป็นอย่างเดียวกัน ตัวอย่างในสมัยพุทธกาลก็มี
เป็นพระสูตรหนึ่งเลย
ตอนนั้นก็ปลายพุทธกาลแล้ว นิครนถนาฏบุตรผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนได้สิ้นชีวิตลง
สาวกของท่านไม่ได้รวบรวมคำสอนไว้ และไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ชัดเจน
ปรากฏว่าเมื่อศาสดาของศาสนาเชนสิ้นชีวิตไปแล้ว
สาวกลูกศิษย์ลูกหาก็แตกแยกทะเลาะวิวาทกันว่า
ศาสดาของตนสอนว่าอย่างไร
ครั้งนั้น ท่านพระจุนทเถระได้นำข่าวนี้มากราบทูลแด่พระพุทธเจ้า
และพระองค์ได้ตรัสแนะนำให้พระสงฆ์ทั้งปวง
ร่วมกันสังคายนาธรรมทั้งหลายไว้เพื่อให้พระศาสนาดำรงอยู่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน
(ที.ปา.๑๑/๑๐๘/๑๓๙)
คัดมาจาก
http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_20.htm
การสังคายนานั้นต้องให้รู้ว่าเป็นการที่จะรักษาคำสอนเดิมเอาไว้ให้แม่นยำที่สุด
ไม่ใช่ว่าพระภิกษุที่สังคายนามีสิทธิ์เอาความคิดเห็นของตนใส่ลงไป
การสังคายนา ก็คือ การมาทบทวนซักซ้อมตรวจสอบคัมภีร์ให้ตรงตามของเดิม
และซักซ้อมตรวจสอบคนที่ไปทรงจำ หรือไปนับถืออะไรต่างๆ
ที่อาจจะผิดเพี้ยนไป ให้มาทบทวนตัวเอง ให้มาซักซ้อมกับที่ประชุม
ให้มาปรับความเห็น ความเชื่อ การปฏิบัติของตน
ให้ตรงตามพระไตรปิฎกที่รักษากันมาอย่างแม่นยำ
ที่เป็นหลักกลางนี้
บางคนเข้าใจผิดว่า ในการสังคายนานี้ ผู้ที่เข้าร่วมสังคายนา
จะไปปรับไปแต่งไปทำอะไรกับพระไตรปิฎก ดีไม่ดีอาจจะถึงกับเข้าใจว่ามาแต่งพระไตรปิฎกกันใหม่
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปไกล ซึ่งแสดงว่าไม่รู้จักการสังคายนา
และไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เพราะฉะนั้น จะต้องย้ำกันว่า การสังคายนาพระไตรปิฎก
ก็คือ การมาทบทวนตรวจสอบซักซ้อมกันในการที่จะรักษาพระไตรปิฎกของเดิมที่ท่านสังคายนาไว้
ในการสังคายนาครั้งที่ ๑ เมื่อ ๓ เดือน หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
ว่าเป็นอย่างไร ก็ให้คงอยู่อย่างนั้น อย่างแม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อะไรที่คลาดเคลื่อน ใครทรงจำผิดไป ก็ให้มาปรับเข้ากับของเดิมของแท้นี้เสีย
เพราะว่าเมื่อเรารักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็คือเราจะต้องเอาคำตรัสของพระองค์ของเดิมไว้ให้ได้
ถ้าคำสอนคำตรัสเดิมหมดไป ก็คือพระพุทธศาสนาหมดไปแล้ว
แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่า ในพระไตรปิฎกไม่ใช่มีเฉพาะคำตรัสของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
คำของพระสาวกก็มี เช่น คำของพระสารีบุตรที่ได้แสดงวิธีสังคายนาเป็นตัวอย่างไว้นั้น
ก็เป็นพระสูตรอยู่ในพระไตรปิฎก ชื่อ สังคีติสูตร
แต่ธรรมะที่พระสารีบุตรนำมาสังคายนาไว้ในสังคีติสูตรนั้น
ก็คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า หรือธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้นั่นเอง
นอกจากนั้นก็มีคำสนทนากับผู้อื่น ซึ่งมีคำของผู้อื่นอยู่ด้วยในนั้น
หลักคำสอนอะไรเก่าๆ ก่อนพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับ
ทรงนำมาเล่าให้นับถือปฏิบัติกันต่อไป ก็มาอยู่ในพระไตรปิฎกด้วย
อย่างเรื่องชาดก เฉพาะส่วนที่เป็นตัวคำสอนแท้ๆ
ฯลฯ
คัดมาจาก
http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_20.htm
|