การสังคายนาในอินเดียครั้งที่ 3 พระเจ้าอโศกมหาราชทรงอุปถัมภ์
พระไตรปิฎกเข้าสู่ ลังกา ไทย และพม่า และการนับครั้งสังคายนาของฝ่ายเถรวาท
เมื่อพูดถึงเรื่องสังคายนานี้ .......... ทำไมพม่าจึงเรียกว่าฉัฏฐสังคายนา
คือ สังคายนาครั้งที่ ๖ แล้วไทยเราไปเกี่ยวข้องกับพม่าอย่างไร
ในลังกาสังคายนากี่ครั้ง คือว่าประเทศเพื่อนบ้านเราเหล่านี้
ต่างรับรองหรือไม่รับรองกันและกันอย่างไร เพราะพม่านั้นสืบสายการสังคายนานั้นไม่ตรงกับไทยเรา
แต่ว่าไม่ใช่หมายความว่ามีอะไรผิดเกิดขึ้น การสังคายนาครั้งที่
๑ ได้กระทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้เพียง
๓ เดือน
ครั้งที่ ๒ ภายหลังพุทธปรินิพพานประมาณ ๑๐๐
ปี ครั้งที่ ๓ ภายหลังพุทธปรินิพพานประมาณ ๒๓๕
หรือ ๒๓๖ ปี อันนี้เป็นสังคายนาในอินเดีย แต่ว่าในสังคายนาครั้งที่
๑ นั้น ทางฝ่ายมหายานเริ่มแตกแยกออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นฝ่ายมหายานไม่รับรองสังคายนาครั้งที่
๓ ที่ทำในอินเดีย มีกล่าวถึงสังคายนาที่ยอมรับร่วมกันจากพระไตรปิฎกฉบับธิเบต
ที่มีฝรั่งชาวอเมริกันแปลไว้เพียง ๒ ครั้งคือ
ครั้งแรกพุทธปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน กับครั้งที่
๒ ครั้งพุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๑๐๐ ปีเท่านั้น
ส่วนสังคายนาครั้งที่ ๓ นั้นถือว่าเป็นการแยกกันแล้ว
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสนับสนุนให้มีการทำสังคายนาครั้งที่
๓ เมื่อพุทธศักราชประมาณ ๒๓๕ หรือ ๒๓๖ ปี ทีนี้ทางฝ่ายมหายาน
ก็แยกไปทำในภายหลังที่พระเจ้ากนิษกะทำในประเทศอินเดีย
ภายหลังจากนั้น พอสังคายนาครั้งที่ ๓ เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
พระเจ้าอโศกก็ส่งสมณทูตออกไปในที่ต่างๆ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
สมณทูตรุ่นนั้นคงจะเดินทางมาถึงทางสุวรรณภูมินี้ด้วย
แต่ว่าจะพูดถึงสมณทูตรุ่นแรกที่ไปยังลังกา เพราะทางฝ่ายพระพุทธศาสนาเราถือว่ามีความสัมพันธ์กับลังกา
พม่าก็ยอมรับรองลังกาเหมือนกัน พอทำสังคายนาสามครั้งในอินเดียเสร็จแล้ว
พระเจ้าอโศกมหาราชก็ให้ลูกของท่านคือ พระมหินทเถระเดินทางไปยังประเทศลังกา
ไปเผยแผ่ศาสนาในประเทศลังกา ซึ่งอันนี้สืบทราบว่าเป็นสังคายนาครั้งแรกในลังกา
ซึ่งไทยเรายอมรับเป็นครั้งที่ ๔ ต่อจากในอินเดีย
คืออินเดียสามครั้งแล้ว พอไปถึงลังกาได้สองสามปีก็สังคายนาอีก
ทำไมจึงสังคายนาบ่อยนัก ก็เห็นได้ว่าเพื่อปรับภาษาให้เข้ากับภาษาชาวเกาะ
หรือภาษาลังกานั้นเอง ต่อมาอีกที่นับว่าเป็นครั้งสำคัญ
คือเมื่อพุทธศักราชล่วงได้ ๔๓๓ ปี สังคายนาครั้งแรกในลังกา
หรือนับเป็นครั้งที่ ๔ ต่อจากอินเดีย พุทธศักราชประมาณ
๒๓๘ ปี ทีนี้ล่วงมาจนถึงพุทธศักราช ๔๓๓ ปี บางฉบับว่า
๔๕๐ ปีนั้น เป็นสังคายนาครั้งสำคัญ ที่มีความหมายแก่พวกเรามากก็คือว่า
ในครั้งนั้นปรารภความทรงจำของประชาชนว่าจะเสื่อมลง
ก็เริ่มให้มีการจารึกลงในใบลาน อันนี้เองพม่าไม่ยอมรับสังคายนาครั้งแรกในลังกาที่ว่า
พระมหินเถระไปใหม่ๆ ก็สังคายนา แต่พม่ายอมรับสังคายนาครั้งที่จารึกลงเป็นตัวอักษร
ที่นับเป็นครั้งที่สองในลังกาหรือนับเป็นครั้งที่
๕ ต่อจากอินเดีย คืออินเดียสามครั้ง ลังกาสองครั้ง
พม่าก็นับในอินเดียสามครั้ง ในลังกาเอาครั้งหลังเลยทีเดียว
ที่จารึกลงในคัมภีร์ใบลานเป็นครั้งที่ ๔ แล้วต่อมาพม่าก็ได้รับพระไตรปิฎกโดยตรงจากลังกา
เมื่อถึง พ.ศ. ๒๔๔๐ เศษ พ.ศ. ๒๔๑๔ พม่าก็เริ่มสังคายนาครั้งที่
๕ เพราะว่า พม่ายอมรับสังคายนาในลังกาเพียงครั้งเดียว
เอามาต่อจากอินเดีย ๓ ครั้ง เป็น ๔ ครั้ง เรื่อยมาจนถึงศักราช
๒๔๑๔ พระเจ้ามินดงของพม่า โปรดให้มีการสังคายนาจารึกพระไตรปิฎกลงในแผ่นหินอ่อน
ในกรุงมัณฑะเล ซึ่งท่านที่เคารพทั้งหลายคงจะเห็นมาบ้างแล้ว
๗๒๙ แผ่น หินอ่อนแผ่นใหญ่ๆ จารึกเป็นอักษรพม่า
นี่เป็นครั้งที่ ๕ ที่พม่ารับรองเป็นครั้งแรกในประเทศพม่า
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ คือพม่าถือว่าต่อจากลังกาแล้วก็ไปพม่า
แล้วเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่อใกล้ๆ กับ ๒๕ พุทธศตวรรษ
ที่พม่าเริ่มสังคายนาครั้งที่ ๖ ที่ เรียกว่าฉัฏฐสังคายนา
ฉลองกันเป็นการใหญ่โต ร่วมกับการฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ
อันนี้ถือว่าเป็นครั้งสำคัญที่สุด เพราะพม่าได้เชิญประเทศฝ่ายเถรวาทหลายประเทศ
รวม ๕ ประเทศ ให้ไปเป็นประธานสังคายนาแต่ละครั้ง
ตกลงว่า ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก ถ้าพูดถึงทางประเทศพม่าๆ
ยอมรับว่าอินเดียมีสามครั้ง ลังกามีหนึ่งครั้ง
ที่จารึกลงในใบลานคือ เมื่อ พ.ศ. ๔๓๓ แล้วต่อจากนั้น
พ.ศ. ๒๔๑๔ มาเป็นครั้งแรกในพม่า ซึ่งจารึกลงในหินอ่อน
พอครั้งที่ ๖ ได้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งหลังสุดใน
ประเทศพม่า ถือว่าเป็นสังคายนาครั้งที่ ๖ ส่วนประเทศไทยเรา
เราถือว่า ๙ ครั้งแล้ว ที่ถือว่า ๙ ครั้งนี่
เป็นงานของท่านสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ท่านรจนามาเป็นภาษาบาลีไว้
เล่าประวัติ คือครั้งนั้นรัชกาลที่ ๒ ทรงปรารภจัดทำสังคายนา
พระเถระก็รวบรวมเรื่องเล่าประวัติถวายว่า มาแต่ครั้งไหนๆ
ฝ่ายไทยที่นับว่า ๙ ครั้งนั้น เพราะเรายอมรับนับถือในลังกาหลายครั้งเหลือเกิน
แต่ว่าเป็นเรื่องมีประโยชน์ เพราะว่าทำให้เราได้รู้ความเป็นมาของอรรถกถา
คือคำอธิบายพระไตรปิฎกที่ฝรั่งเรียก Commentary
และความเป็นมาของฎีกาเป็นคำอธิบายอรรถกถาอีกต่อเรียกว่า
Sub-commentary ฝ่ายไทยยอมรับสังคายนา ๔ ครั้ง
ในอินเดีย ๑, ๒, ๓ แล้ว แล้วก็ครั้งที่ ๔ ที่พระมหินทเถระนำไปในลังกาสดๆ
ร้อนๆ ท่านก็นับเป็นครั้งที่ ๔ ซึ่งพม่าไม่ยอมรับครั้งนี้
ครั้งที่ ๕ คือ พ.ศ. ๔๓๓ ที่ว่าจารึกลงในคัมภีร์ใบลานเป็นครั้งแรกนี่
ทางฝ่ายไทยยอมรับด้วยก็เป็น ๕ ครั้ง มาครั้งที่
๖ ที่เป็นครั้งจัดทำอรรถกถา คือสมัยพระพุทธโฆษะ
เมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ ไทยเรายอมรับทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นการจัดทำอรรถกถา
คือคำอธิบายพระไตรปิฎก ไม่ใช่ตัวพระไตรปิฎกแท้
ไทยเราก็ยอมรับอีกเพราะว่าเชื่อว่าคงจะได้มีการแก้ไขตัวพระไตรปิฎกบ้าง
พอต่อมาอีกในลังกาเมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ มีสังคายนาในลังกา
ที่ไทยเรายอมรับเป็นครั้งที่ ๖ นั่น พ.ศ. ๙๕๖
พอมาครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๑๕๘๗ ไทยเรายอมรับครั้งนี้ด้วย
ครั้งนี้เป็นการแต่งฎีกา คือคำอธิบายอรรถกถาอีกต่อหนึ่ง
อรรถกถานั้นเป็นคำอธิบายพระไตรปิฎก ฎีกานั้นอธิบายอรรถกถาไปอีกต่อหนึ่ง
ไทยเราก็ยอมรับว่าเป็นสังคายนาเหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นงานใหญ่มาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ไทยเราก็รับว่า ในอินเดียมี
๓ ครั้ง ในลังคามี ๔ เพราะเราติดต่อกับลังกาใกล้ชิดอยู่เหลือเกิน
มีการส่งสมณทูตแลกเปลี่ยนไปจนกระทั่งถึงกับไทยเราไปเป็นอุปัชฌายะตั้งศาสนวงศ์
ในลังกาที่ยังมีพระอุบาลีวงศ์อยู่จนทุกวันนี้
พอได้ ๗ ครั้งนั่นแล้ว ก็มาถึงไทยเราเองบ้าง
เราไม่มีการติดต่อกับพม่าเราก็นับจากสายลังกามาหาไทยใน
พ.ศ. ๒๐๒๐ โปรดเทียบเคียงดูสังคายนาครั้งแรกในพม่า
พ.ศ. ๒๔๑๔ ครั้งแรกในพม่าที่จารึกในหินอ่อน
แต่ครั้งแรกในประเทศไทยคือที่ลานนา เชียงใหม่นั่น
พระเจ้าติโลกราช ทรงโปรดให้มีการสังคายนาเมื่อ
พ.ศ. ๒๐๒๐ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ก่อนครั้งแรกในพม่าเกือบ
๔๐๐ ปี แล้วเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่สังคายนาครั้งแรกในประเทศไทยนี้
มีตัวอักษรลานนาซึ่งเรายังอุตส่าห์เก็บเอาไว้ได้
นั่นถือเป็นครั้งที่ ๘ เพราะนับจากลังกามาเป็น
๗ ครั้ง พอมาถึงครั้งที่ ๙ คือในรัชกาลที่ ๑
รัชกาลที่ ๑ ทรงอุปถัมภ์ให้มีการทำสังคายนาแล้วก็ได้จารึกลงในลานทองฉบับหลวงที่เรียกว่าลานทอง
คือลงทองไว้งดงามมาก ทรงอุปการะถึงขนาดเสด็จไปทั้งเช้าทั้งกลางวัน
ถ้าเสด็จไปไม่ได้ด้วยพระองค์เอง ก็ให้วังหน้าเสด็จ
คือพระอนุชา แล้วตอนเย็นยังเสด็จไปถวายน้ำอัฐบาลภิกษุสงฆ์
แปลว่าทรงปลื้มปีติเพียงไรในการสนับสนุนสังคายนาครั้งนั้น
ซึ่งพวกเราเป็นหนี้บุญคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
อย่างมากทีเดียวที่เริ่มสังคายนา คือชำระพระไตรปิฎกให้เรียบร้อย
ต่อมาก็ถึงสมัยการพิมพ์ของไทยในรัชกาลที่ ๕
ซึ่งถือว่าการสังคายนาในรัชกาลที่ ๑ นั่น นับเป็นสังคายนาครั้งที่
๒ เพราะในประเทศไทยถือเป็นสังคายนาครั้งที่
๙ พ.ศ. ๒๓๓๑ ก็ยังนับว่าทำก่อนพม่าอยู่ดี เพราะครั้งแรกของพม่า
ครั้งที่สองของไทยก็ยังก่อนครั้งแรกของพม่า
มาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงจะนับว่าหลังพม่าหน่อย
แต่ว่าทั้งนี้เราก็เรียกว่าพิมพ์พระไตรปิฎกเท่านั้น
ในรัชกาลที่ ๕ เริ่มแต่ พ.ศ. ๒๔๓๑ แล้วก็มาในสมัยรัชกาลที่
๗ ทรงพิมพ์พระไตรปิฎกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายรัชกาลที่
๖ นี่ก็เป็นเรื่อความเป็นมาในประเทศไทย เมื่อฟังดูอย่างนี้แล้ว
ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายก็คงจะเห็นได้ว่า การที่ไทยเรานับสังคายนา
๙ ครั้ง จนถึงครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น เพราะว่าเรามีสายติดต่อกับลังกามาตลอด
เราจึงยอมรับนับถือการทำสังคายนาของลังกาถึง
๔ ครั้ง แต่พม่าติดต่อกับลังกาน้อย ก็รับนับถือของลังกาเพียงครั้งเดียว
ทางฝ่ายลังกานั้น ที่เป็นทางการจริงๆ เขานับถือเพียงครั้งแรกที่พระมหินทเถระไป
ถ้าถึงวันที่พระมหินทเถระไปลังกาเมื่อไหร่ ลังกามีการจุดประทีปโคมไฟ
มีการตั้งดอกไม้แจกฟรี ผู้รับไม่ต้องเสียงสตางค์
ที่ประตูวัดมีดอกไม้กองไว้ มีเครื่องสักระกองไว้ให้สาธุชนเข้าไป
แล้วก็ได้รับดอกไม้นั้น เข้าไปบูชาเจดีย์สถานถือว่า“โกศลเดย์”คือวันกลางเดือน
๗ ที่พระมหินทเถระไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาในลังกา
ถือเป็นงานเอิกเกริกของลังกาทีเดียว แล้วก็ลังกายอมรับสังคายนาครั้งที่
๒ คือที่จารึกลงในใบลานเมื่อปี พ.ศ. ๔๓๓ นั่นครั้งหนึ่ง
แล้วนอกจากนั้นลังกาไม่ยอมรับ มามีอีกครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ
๑๐๐ ปีมานี้ คือพระในลังกาทำขึ้น แต่ก็ไม่มีใครรู้
นี่เขาก็บันทึกไว้อีกครั้งหนึ่ง ตกลงลังกาเองยอมรับสังคายนาของตนเองประมาณ
๓ ครั้งเท่านั้น ข้อมูลจาก
“ความรู้เรื่องพระไตรปิฏก ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท”
ปาฐกถาโดย อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ
คัดมาจาก
http://mahamakuta.inet.co.th/tipitaka/tipitaka4/tipi~242.htm |