นานาสาระเกี่ยวกับพุทธศาสนา

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวเถรวาท

ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทเป็นอย่างไร

           นิยามและองค์ประกอบของพระไตรปิฎก

           พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์หลักของพระพุทธศาสนา คำว่า “ไตรปิฎก” ตามรูปศัพท์ มาจากภาษาบาลีว่า “ติปิฏกํ” หรือ เตปิฎกํ” แยกออกเป็น ๒ ศัพท์ คือ ไตร หรือ ติ (แปลว่า สาม) + ปิฏก (ปิฎก แปลว่า ตะกร้า) เมื่อรวมความแล้ว “ไตรปิฎก” แปลว่า ปิฎกสาม แต่โดยนัยอรรถาธิบายแล้ว พระที่มีความเชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนาหรือพระอรรถกถาจารย์ ได้ให้ความหมายของ “พระไตรปิฎก” ไว้ ๒ นัย คือ

           ๑) ปิฎก หมายถึง คัมภีร์ หรือตำรา ดังบาลีว่า มา ปิฎก-สมฺปทาเนนฯ แปลว่า อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา

           ๒) ปิฎก หมายถึง ภาชนะ (เช่น ตะกร้า) ดังประโยคบาลีว่า อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย กุทฺทลปิฎกมาทายฯ ครั้งนั้น บุรุษคนหนึ่งถือจอบและตะกร้าเดินมา ดังนั้น คำว่า พระไตปิฎก ในที่นี้ จึงหมายถึง “คัมภีร์หรือตำราที่บรรจุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า (และพระสาวกองค์สำคัญ) ไว้เป็นหมวดหมู่ ดุจดังภาชนะรองรับสิ่งของต่าง ๆ ให้สวยงาม”


คัดมาจาก
           http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/menu2_2.htm


           พระไตรปิฎกเกิดมีขึ้นเมื่อใด

           พระไตรปิฎกนี้มีมาตั้งแต่ครั้งไหน เดิมทีเดียวไม่ได้เรียกพระไตรปิฎก ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่เรียกว่าธรรมกับวินัยเป็นพื้น แม้เมื่อตอนที่จะนิพพานตรัสสั่งสอนพระอานนท์ไว้ ก็ยังสั่งว่า “ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงไปแล้ว ธรรมแลวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ก็จักเป็นศาสดาแทนเรา”นี่แปลว่าแม้เมื่อใกล้จะปรินิพพานก็ทรงเรียกว่าธรรมกับวินัย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้มีการประชุมทำสังคายนา แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องทำสังคายนาภายหลังพุทธปรินิพพาน จะขอพูดเท้าความว่ามีเหตุการณ์หลายอย่างที่ก่อให้เกิดความกังวลใจขึ้นในพระพุทธศาสนาเอง คือพระจุนทะ น้องชายพระสารีบุตรซึ่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เป็นห่วงเป็นใยเมื่อเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในศาสนาอื่นแล้ว คือศาสนานิครนถ์ เกิดแตกแยกกันมากมาย ทะเลาะวิวาทกันเองในหมู่ศิษย์ของนิครนถนาฏบุตร ท่านเป็นผู้ไปหาพระอานนท์ก่อน ในฐานะที่พระอานนท์เป็นผู้ใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแนะว่าควรจะทำสังคายนา หลักฐานอันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแนะอย่างนั้นก็แปลว่าทรงเห็นการณ์ไกลว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกควรจะได้รวบรวมคำสั่งสอนของพระองค์ให้เป็นหมวดเป็นหมู่ที่เรียกว่าการร้อยกรอง หรือการทำสังคายนา และเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ท่านพระสารีบุตรก็เคย คือตอนที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระสารีบุตรเทศน์พระภิกษุแทนพระองค์ท่าน ในขณะที่ทรงแสดงธรรมในเวลากลางคืน และก็ทรงพักผ่อนให้พระสารีบุตรแสดงธรรมแทน พระสารีบุตรก็ชวนภิกษุทั้งหลายให้ช่วยกันทำสังคายนา

           นี่เป็นครั้งแรกที่แสดงว่ามีการรู้สึกว่าเป็นการจำเป็นแล้ว ที่จะต้องรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นหมวดหมู่ แต่ก่อนที่จะมีการรวบรวมนั้น คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นมาอย่างไร ก็ปรากฏในหลักฐานทางพระไตรปิฎกเองว่า การท่องจำมีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว คือ พระโสณะกุฏิกัณณะ ซึ่งท่านบวชทางอินเดียภาคใต้ ท่านได้เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็จัดให้พักในกุฎีเดียวกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามถึงความเป็นไปต่างๆ แล้วก็ตรัสขอร้องให้ พระโสณะกุฏิกัณณะ นี่เองสวดหรือลองกล่าวพุทธวจนะให้ฟัง พระโสณะกุฏิกัณณะ ท่านท่องมาอย่างแม่นยำจากอุปัชฌาย์ของท่านแล้วคือ พระมหากัจจายนเถระ ท่านก็ว่าให้ฟังปากเปล่ามากมายหลายสูตรทีเดียว เป็นสูตรในสุตตนิบาต พระพุทธเจ้าทรงฟังแล้วก็ทรงชมเชยว่าเสียงดี อักขระชัดเจนดี ชัดถ้อยชัดคำดี ทรงยกย่องพระโสณะกุฏิกัณณะ นี่แปลว่าการท่องจำมีมาแล้ว แม้ในครั้งพุทธกาล

           เมื่อมาถึงสมัยพระอานนท์ๆ เป็นผู้ยอดเยี่ยมในการท่องจำ คือว่าบางครั้งท่านก็จำได้โดยไม่ต้องท่อง เป็นบุคคลที่มีความจำประเสริฐอย่างนี้ นับเป็นผู้ที่หาได้ยาก แล้วนอกจากนั้นท่านยังมีข้อสัญญากับพระพุทธเจ้าไว้ว่า อันไหนถ้าท่านไม่ทราบ คือพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมที่อื่นแล้วกลับมา ถ้าท่านไม่ได้อยู่ในที่นั้นด้วย ก็มีเงื่อนไขว่าจะต้องทรงเล่าให้พระอานนท์ฟัง เพื่อพระอานนท์จะได้ตอบแก่คนอื่นได้ว่า มีใครมาถามว่าเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่ไหน พระพุทธเจ้าต้องทรงยอมรับเงื่อนไขที่พระอานนท์ทูลขอร้อง นี้ก็แปลว่า การทรงจำพระไตรปิฎกได้มีมาแล้วในครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้สามเดือน พระเถระผู้ใหญ่ก็มีการประชุมกันทำสังคายนาครั้งแรก อันนั้นเป็นสังคายนาที่ทางฝ่ายมหายานและเถรวาทรับรองต้องกัน การทำสังคายนาครั้งแรกก็คือ จัดหมวดหมู่ แต่ว่าในครั้งนั้นเอง เมื่อดูตามประวัติศาสตร์ที่กล่าวในพระไตรปิฎก เป็นที่น่าประหลาดว่าประวัติการทำสังคายนาไปอยู่ในพระไตรปิฎก ก็แสดงให้เห็นว่า ได้เพิ่มประวัติศาสตร์เข้ามาในพระไตรปิฎก เมื่อประมาณสังคายนาครั้งที่สาม ที่มีการเพิ่มประวัติศาสตร์เข้าในพระไตรปิฎกด้วย เชื่อว่าเป็นการชี้ให้คนรุ่นหลังได้รู้ความเป็นมาในระยะแรกๆ ภายหลังพุทธปรินิพพาน คือในวินัยปิฎกเล่ม ๗ ฉบับไทยเล่าประวัติการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ และในประวัติตอนนั้นใช้คำว่า ธรรมและวินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาธรรม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาวินัย คือเป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวแก่วินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาธรรมะ คำว่าธรรมะในที่นี้ก็หมายรวมทั้งพระสูตรพระอภิธรรม แต่ตามคัมภีร์มหายานฝ่ายธิเบต ท่านที่รับพิมพ์ได้แปลไว้จากฉบับธิเบต ถือว่าได้เรียกเป็นพระไตรปิฎก ตั้งแต่สมัยสังคายนาครั้งแรกแล้ว นี่ฝ่ายมหายานเรียกอย่างนั้น แต่ทางฝ่ายเถรวาทถึงตอนนั้นก็ยังไม่มีเรียกว่าพระไตรปิฎก มีการบันทึกไว้ว่าเรียกพระไตรปิฎกในชั้นพระอรรถกถา คือหนังสืออธิบายพระไตรปิฎกที่แต่งประมาณพันปี ภายหลังพุทธปรินิพพาน ต่อมาเมื่อถึงการสังคายนาครั้งที่สองก็ไม่กล่าวอีกว่าเรียกพระไตรปิฎก แต่เรียกพระธรรมพระวินัยตามเดิม เพราะฉะนั้นเห็นได้ว่าจากสำนวนในภาษาบาลี หรือในภาษาบาลีนั้น คำว่าพระไตรปิฎกนี่มีมาในสังคายนาครั้งที่ ๑


ข้อมูลจาก “ความรู้เรื่องพระไตรปิฏก ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท”
ปาฐกถาโดย อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ

คัดมาจาก
           http://mahamakuta.inet.co.th/tipitaka/tipitaka4/tipi~241.htm




back>>