ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเถรวาท
พุทธประวัติ
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรู้ เพราะเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาองค์สำคัญยิ่งพระองค์หนึ่งของโลก
พระพุทธเจ้านั้น เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ
และพระนาง มหามายา มีประวัติความเป็นมาปรากฎตาม
หลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างชัดแจ้ง พระประวัติของพระพุทธ
องค์นั้นพึงทราบโดยสังเขปดังต่อไปนี้
ชาติภูมิ
ทางภาคเหนือสุดของชมพูทวีป (อินเดียโบราณ) มีรัฐที่อุดมสมบูรณ์รัฐหนึ่งชื่อ"สักกะ"หรือ"สักกชนบท"ตั้งอยู่ในลุ่มน้ำโรหิณี
ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในประเทศเนปาล กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของรัฐนี้
กษัตริย์ศากย วงศ์ทรงปกครองรัฐนี้สืบต่อกันมาโดยลำดับ
จนถึงรัชสมัยของพระเจ้าสีหนุ ซึ่งมีพระนางกัญจนาเป็นพระอัคร
มเหสี ต่อมาพระเจ้าสีหนุได้ทรงจัดให้พระราชโอรสองค์ใหญ่พระนามว่า
สุทโธทนะ ได้อภิเษกสมรสกับพระ นางมหามายา พระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะ
และพระนางยโสธราอัครมเหสีแห่งกรุงเทวะทหะ โดยทรง
ประกอบพระราชพิธีขึ้น ณ อโศกอุทยาน กรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อพระเจ้าสีหนุสวรรคตแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะก็ได้
เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์ต่อมา
ประสูติ
เมื่อก่อนพุทธศักราช ๘๑ ปี พระนางมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ
แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระสุบินว่า ลูกช้างเผือกเชือกหนึ่ง
เข้าสู่พระครรภ์ของพระนาง หลังจากนั้นไม่นานนัก
พระนางก็ทรงพระ ครรภ์ เมื่อพระครรภ์แก่จวนครบทศมาสแล้ว
พระนางมหามายาทรงมีพระประสงค์เสด็จกลับไปประทับที่กรุง
ทวะทหะ ชั่วคราว เพื่อประสูติพระโอรสในราชตระกูลของพระนางตามประเพณี
ถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช
๘๐ ปี) พระนางก็เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์พร้อมด้วยราชบริวารแต่เวลาเช้า
พอใกล้ เที่ยงวันก็เสด็จถึงลุมพินีวันราชอุทยานอันตั้งอยู่กึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวะทหะจึงเสด็จแวะเข้าไปพักผ่อนที่ใต้ต้นสาละ
ทันทีนั้นพระนางก็ประชวรพระครรภ์และประสูติพระโอรส
(พระพุทธเจ้า) ความทราบถึงพระเจ้าสุทโธทนะ ก็โปรดให้รับพระนางพร้อมด้วยพระโอรสเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์
หลังจากประสูติแล้ว๕วันได้มีการประกอบพระราชพิธีมงคลเฉลิมพระนามพระราชโอรสว่า"สิทธัตถกุมาร"ในพระราชพิธีนี้ได้เชิญพราหมณ์
๑๐๘ คน เข้ามาฉันอาหารในพระราชวัง และให้มีการทำนายพระลักษณะของ
เจ้าชายสิทธัตถะตามธรรมเนียมด้วย คณะพราหมณ์เหล่านั้น
เมื่อตรวจดูพระลักษณะถี่ถ้วนแล้ว ส่วนมากได้ร่วม
กันทำนายพระลักษณะว่ามีคติเป็น ๒ อย่าง คือ ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะนี้อยู่ครองราชสมบัติก็จักได้เป็นจักรพรรดิ
แต่ ถ้าเสด็จออกทรงผนวช ก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเอกของโลก
แต่มีพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งในคณะพราหมณ์เหล่านั้นชื่อ"โกณฑัญญะ"ได้ทำนายพระลักษณะยืนยันว่ามีคติเพียงอย่างเดียว
โดยทำนายว่า เจ้าชาย สิทธัตถะนี้จะต้องเสด็จออกผนวช
และจะต้องได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
ครั้นถึงวันที่๗นับแต่วันประสูติพระนางมหามายาพระราชชนนีก็เสด็จสวรรคตเจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความอภิบาลของพระนางปชาบดีโคตมี
ผู้เป็นพระมาตุจฉา(พระน้านาง)ของพระองค์ ซึ่งได้ทรงเป็นพระมเหสี
ของพระเจ้า สุทโธทนะสืบต่อมา ทรงศึกษาและอภิเษกสมรส
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเจริญวัยแล้ว ก็ทรงได้รับการศึกษาศิลปวิทยาการต่างๆ
ตามแบบกษัตริย์ในสมัยนั้น โดยพระราชบิดาได้ทรงมอบให้ครูวิศวามิตรผู้มีชื่อเสียงที่สุดในเวลานั้นเป็นผู้รับภาระถวายการศึกษาอบรมเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระปรีชาเฉลียวฉลาดยิ่ง
สามารถจบการศึกษาอบรมแต่เมื่อมี พระชนม์เพียง
๑๕ พรรษา นำความปรีดาปราโมทย์มาสู่พระราชบิดา
พระประยูรญาติ พระอาจารย์เป็นอย่าง ยิ่ง เมื่อพระชนม์ได้
๑๖ พรรษา ได้ทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงพิมพา หรือยโสธรา
พระราชธิดาพระเจ้าสุปพุทธะ กษัตริย์โกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ
พระราชพิธีได้จัดขึ้น ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ท่ามกลางพระประยูรญาติทั้ง
๒ ฝ่าย ภายหลังจากการอภิเษกสมรส ได้ทรงดำรงพระยศเป็นรัชทายาท
แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระราชบิดาทรง สร้างปราสาทใหม่ให้ประทับ
๓ หลัง เพื่อทรงสำราญตลอด ๓ ฤดูกาลทรงเพียบพร้อมด้วยโลกิยสุขอยู่จนพระ
ชนมายุได้ ๒๙ พรรษา และพระนางพิมพาพระวรชายาก็ทรงพระครรภ์ในปีนั้น
ทรงผนวช
ในปีที่ทรงพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษานั้นเอง เจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นรัชทายาทได้เสด็จประพาส
พระราชอุทยาน ๔ ครั้ง ได้ทอดพระเนตรเห็น คนแก่
คนเจ็บไข้ คนตาย และสมณะ ตามลำดับ ในการเสด็จประ
พาส ๓ ครั้ง พระองค์ทรงสลดพระทัยในความทุกข์ยาก
และความไม่เที่ยงแท้ ความผันแปรของชีวิต ในครั้งที่
๔ อัน เป็นครั้งสุดท้ายนั้นเอง พระองค์ทรงทราบว่าพระนางพิมพา
พระวรชายาของพระองค์ได้ประสูติพระ โอรส และทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกทรงผนวชในคืนวันนั้น
โดยทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะ เป็นผู้ตามเสด็จ บ่ายพระพักตร์สู่แคว้นมคธตอนใต้พอเวลาใกล้รุ่งก็เสด็จถึงแม่น้ำอโนมาเข้าสู่ฝั่งของแคว้นมัลละพรมแดนแห่ง
สักกะกับแคว้นมัลละเสด็จข้ามแม่น้ำ อโนมาเข้าสู่ฝั่งของแคว้นมัลละประทับยับยั้งอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น
ทรงตัดพระ เมาลีของพระองค์ด้วยพระขรรค์ แล้วทรงอธิฐานเพศบรรพชิตทรงผนวชเป็นสมณะ
ณ ฝั่งแม่น้ำนั้น แล้วตรัส สั่งนายฉันนะ ให้นำม้ากัณฐกะ
และเครื่องทรงกลับกบิลพัสดุ์ นับแต่รุ่งอรุณวันนั้นเป็นต้นมา
พระสิทธัตถะก็เสด็จ แรมอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ
แต่พระองค์เดียวชั่วเวลาราว ๗ วัน
ทรงแสวงหาโมกขธรรมและทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
ต่อมาพระสิทธัตถะได้เสด็จออกจากอนุปิยอัมพวัน
แคว้น มัลละ แล้วไปยังที่ต่างๆ จนถึงเขตกรุงราชคฤห์
แคว้นมคธ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม (ความพ้นทุกข์)
ครั้งเสด็จ เข้าไปอบรมศึกษาใน สำนักอาฬารดาบส
กาลามโคตร และสำนักอุทกดาบสรามบุตร ทรงเห็นว่าลัทธิของ
๒ สำ นักนั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ใด จึงทรงอำลาจากสำนักดาบสทั้งสองนั้น
เสด็จจารึกแสวงหาโมกขธรรมต่อไปจนถึง ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
อันมีแม่น้ำเนรัญชราไหลผ่าน ได้ประทับอยู่ในป่า
ณ ตำบลนี้ ทรงเริ่มบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยประการต่างๆ
อย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่ทรงพบทางพ้นทุกข์ได้ ในเวลานั้น
พวกปัญจวัคคีย์ คือ ภิกษุ ๕ รูป อันได้แก่ โกณฑัญญะ
วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ มีความเลื่อมใสในพระสิทธัตถะด้วยเชื่อว่าพระองค์
จนได้สำเร็จ เป็นพระพุทธเจ้าจึงได้พากันมาเฝ้าปฏิบัติพระองค์ด้วยความเคารพ
ตรัสรู้
นับแต่ปีที่ทรงผนวชถึงปีที่ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างเคร่งครัดนั้น
เป็นเวลา ๖ ปี แล้ว พระสิทธัตถะ ทรงแน่พระทัยว่า
การบำเพ็ญทุกรกิริยานั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์แน่
และประกอบกับเวลานั้น ท้าวสักกะได้เสด็จมา เฝ้า
ทรงดีดพิณ ๓ สายถวายคือ สายหนึ่งตึงเกินไปมักขาด
สายหนึ่งหย่อนเกินไปเสียงไม่เพราะ สายหนึ่งพอดี
เสียงไพเราะยิ่งทำให้พระสิทธัตถะแน่พระทัยยิ่งขึ้นว่า
การทำความเพียรเคร่งครัดเกินไปนั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
อย่างแน่แท้ พระองค์จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา
ทรงหันมาบำเพ็ญเพียรทางใจอันได้แก่ สมถะ (ความสงบ)
วิปัสสนา (ปัญญา) โดยทรงเริ่มเสวยพระกระยาหาร
ตามปกติ พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เห็นดังนั้น
จึงคลาย ศรัทธาเลิกเฝ้าปฏิบัติ แล้วพากันไปอยู่ป่า
อิสิปตนะมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เป็นเหตุให้พระองค์ประทับอยู่แต่พระองค์เดียว
ทำให้ได้รับความวิเวกยิ่งขึ้น ทรงเริ่มบำเพ็ญทางใจ
ณ ภายใต้ต้นหว้าใหญ่ต้นหนึ่ง
ครั้นอยู่ต่อมาถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เวลาเช้า
พระองค์เสด็จไปประทับที่โคนต้นไทรต้นหนึ่ง ใกล้แม่น้ำ
เนรัญชรา เวลานั้นนางสุชาดา ธิดาสาวของกฎุมพีนายบ้านเสนานิคม
ตำบลอุรุเวลา ได้จัดข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองคำ นำไปบวงสรวงเทวดาที่ต้นไทรนั้นตามลัทธินิยมของตน
ครั้นเห็นพระสิทธัตถะประทับนั่งอยู่ก็เข้าใจว่าเป็นเทวดาจึงน้อมถวายข้าวมธุปายาสพร้อมทั้งถาดทองคำ
แล้วหลีกไป พระสิทธัตถะทรงรับข้าวมธุปายาสแล้วเสด็จไป
ยังแม่น้ำเนรัญชรา ทรงสรงสนานพระวรกาย แล้วเสวยข้าวมธุปายาสแล้วทรงลอยถาดลงในกระแสแม่น้ำเนรัญชรา
ครั้นแล้วแล้วจึงเสด็จไปประทับในดงไม้สาละใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานั้น
ครั้นย่างเข้ายามเย็น พระสิทธัตถะก็เสด็จจากป่าสาละไปยังต้นอัสสัตถพฤกษ์(มหาโพธิ)ต้นหนึ่ง
ซึ่งอยู่ริมฝั่ง ที่โค้งแม่น้ำเนรัญชราฝั่งตะวันตก
ระหว่างทางทรงรับฟ่อนหญ้าคาที่คนหาบหญ้าขายชื่อ
โสตถิยะน้อมถวาย ๘ ฟ่อน ทรงนำไปปูลาดเป็นบัลลังก์ที่ควงไม้มหาโพธินั้น
แล้วประทับลงบนบัลลังก์นั้น ผินพระพักต์ไปทางทิศตะ
วันออก ทางแม่น้ำเนรัญชรา ทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ
คือ ทรงเจริญสมถะและวิปัสสนาได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในยามสุดท้ายแห่งวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
ครั้นตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์ได้ประทับเสวยวิมุติสุขอยู่
๗ สัปดาห์ ในสถานที่ทั้ง๗ แห่ง แห่งละสัปดาห์คือ
ที่ต้นมหาโพธิ ที่อนิมิสเจดีย์ ที่รัตนจงกรมเจดีย์
ที่รัตนฆรเจดีย์ ที่ต้นอชปาลนิโครธ ที่ต้นมุจลินท์
(ต้นจิก) และ ที่ต้นราชายตนะ (ต้นเกด) ตามลำดับ
ในสัปดาห์ที่ ๕ ระหว่างเวลาที่ประทับอยู่ที่ต้นอชาปาลนิโครธนั้น
พระพุทธองค์ทรงแก้ปัญหาพราหมณ์ผู้ หนึ่งซึ่งทูลถามปัญหาเรื่องความเป็นพราหมณ์
และมีพระธิดาพญามารทั้ง ๓ คือ นางตัญหา นางราคา
และนางจรตี ได้มาทำการยั่วยวนพระองค์ให้ทรงหันไปลุ่มหลงในทางโลก
แต่ไม่เป็นผล ในสัปดาห์ที่ ๖ ระหว่างแวะประ ทับอยู่ที่ใต้ต้นมุจลินท์นั้น
มีฝนตกตลอดสัปดาห์ พญานาคชื่อ มุจลินท์ ได้มาถวายอารักขา
ป้องกันพระองค์มิให้เปียกฝน และมิให้กระทบลมหนาว
ในสัปดาห์ที่ ๗ ระหว่างเวลาที่ประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะนั้น
มีพ่อค้า ๒ คน คือ ตะปุสสะ กับ ภัลลิกะ ได้ถวายข้าวสัตถุก้อนและสัตถุผงแก่พระพุทธองค์
และมีความเลื่อมใสได้ประกาศตน เป็นอุบาสก ถือพระพุทธกับพระธรรมเป็นสรณะ
นับเป็นอุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา
ทรงแสดงปฐมเทศนาและได้เป็นปฐมสาวกครั้นต่อมาถึงตอนเย็นวันขึ้น๑๕ค่ำเดือนอาสาฬหะ(เดือน๘)
พระพุทธองค์ได้เสด็จจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคมถึงป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี ในวันรุ่งขึ้นอัน เป็นวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะได้ทรงแสดงพระปฐมเทศนา
คือ พระธรรมจักรกับกัปปวัตนะสูตร โปรดภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง
๕ อันเป็นเทศนากัณฑ์แรกในพระพุทธศาสนา เมื่อจบเทศนาแล้ว
ท่านโกณฑัญญะ (อัญญาโกณฑัญญะ) ได้ธรรมจักษุ คือได้ดวงตาเห็นธรรม
อันได้แก่การได้บรรลุพระโสดาปัตติผล และได้ขออุปสัมปทา
นับเป็นพระ สงฆ์สาวกองค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อแต่นั้นมาก็ทรงสั่งสอนท่านทั้ง
๔ จนได้บรรลุโสดาปัตติผล และได้อุป สมบทเป็นพระสงฆ์ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาทุกองค์
ต่อมาถึงวันแรม ๘ ค่ำ เดือนสาวนะ (เดือน ๙) พระพุทธองค์
ได้ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดท่านทั้ง ๕ ในวันนั้น
จึงนับเป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก รวมทั้งพระพุทธ
องค์ด้วยเป็น ๖ องค์
ทรงโปรดชาวเมืองพาราณสี
ต่อมา เมื่อประทับจำพรรษาอยู่ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
อันเป็นพรรษาแรกนั้น เอง พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงอนุบุพพิกถาโปรดกุลบุตรชื่อ
"ยสะ" ซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีชาวเมืองพาราณสีให้
ได้บรรลุ พระอรหัตตผล สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
นับเป็นพระอรหันต์องค์ที่๗ในโลกทั้งได้ทรงแสดงโปรดเศรษฐีบิดาพระยสะให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ประกาศตนเป็นอุบาสก
และนับเป็นอุบาสกคนแรกในพระพุทธศาสนาที่ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ทั้งได้โปรดมารดาและภรรยาของ ท่านยสะให้เลื่อมใส
ได้ประกาศตนเป็นอุบาสิกา ซึ่งเป็นอุบาสิกาคู่แรกในพระพุทธศาสนาที่ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ต่อแต่นั้นมา ๒-๓ วัน พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี
ผู้เป็นสหายของ ท่านยสะทั้ง ๔ คน ชื่อ วิมละ สุพาหุ
ปุณณชิ และควัมปติ ให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
นับเป็นพระอรหันต์ในโลกจำนวน ๑๑ องค์ ต่อมาอีกไม่นานนัก
สหายของท่านยสะซึ่งเป็นชาวชนบทจำนวน ๕๐ คนก็ได้บวชตามยสะ
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้อุปสมทบด้วย
เอหิภิกขุอุปสัมปทาทั่วทุกองค์นับจำนวนพระอรหันต์ในโลกเพิ่มขึ้นเป็น
๖๑ องค์
ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระพุทธศาสนา เมื่อมีพระอรหันต์สาวกจำนวนมากถึง
๖๐ องค์ และเวลานั้นก็ ได้สิ้น ฤดูฝนแล้ว พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นโอกาสดี
สมควรส่งพระสาวกไปประกาศพระพุทธศาสนาแล้วจึง มีพระพุทธดำรัสสั่งพระอรหันต์สาวก
ให้ไปจาริกในที่ต่างๆ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน
โดยให้แยกย้ายกันไป มิให้ไปรวมกัน ให้ไปแสดงธรรมประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่หลาย
ส่วนพระองค์เองก็จะเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา กรุงราชคฤห์
เพื่อประกาศพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน
ทรงโปรดภัททวัคคีย์และชฎิล
เมื่อทรงส่งพระสาวกออกจาริกไปแล้ว พระพุทธองค์จึงเสด็จไปยัง
ตำบลอุรุเวลาแต่เพียงพระองค์เดียว ระหว่างทางได้เสด็จแวะเข้าไปพักผ่อนที่ไร่ฝ้ายแห่งหนึ่ง
ณ ที่นี้ พระองค์ได้ทรงพบ ชายหนุ่มจำนวน ๓๐ คน
เป็นสหายกันเรียกว่า ภัททวัคคีย์ ซึ่งได้พากันออกติดตามหาภรรยาของหนุ่มคนหนึ่งที่
ได้ขโมยของหนีไป พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนว่า จะตามหาหญิงหรือตนเองดี
แล้วทรงแสดงธรรมโปรดให้บรรลุมรรคผล ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา
(คือ การบวชให้ด้วยพระองค์เอง ด้วยการตรัสว่า
จงมาเป็นภิกษุเถิด) แล้วทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนาทั้ง
๓๐ องค์
หลังจากที่ทรงโปรดพวกภัททวัคคีย์แล้ว ตอนบ่ายวันนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จจากไร่ฝ้าย
พอเวลาพลบค่ำก็ เสด็จถึงตำบลอุรุเวลาริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ณ ตำบลนี้พระองค์ได้ทรงโปรดชฎิล ๓ พี่น้องที่ตั้งอาศรมบำเพ็ญพรตอยู่ที่ตำบลนี้
คือ ชฎิลผู้พี่ใหญ่ ชื่อ อุรุเวลากัสสป น้องคนกลางชื่อ
นทีกัสสป น้องคนเล็กชื่อ คยากัสสป คุมบริวาร (รวมทั้งตัวเองด้วย)
คนละ ๕๐๐ , ๓๐๐ และ ๒๐๐ โดยตั้งอาศรมอยู่ตอนเหนือแม่น้ำเนรัญชราที่คุ้งแม่น้ำ
ตอนกลาง และที่คุ้งตอนใต้สุดโดยลำดับ โดยทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดชฎิลเหล่านั้นให้ได้บรรลุมรรค
ผล สำเร็จในพระอรหันต์ทั้ง ๑,๐๐๐ รูป ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาทั่วทุกรูป
ทรงโปรดพระเจ้าพิมพิสารและทรงได้พระอัครสาวก
เมื่อทรงโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมทั้งบริวารและทรง
พักอยู่ที่ตำบลคยาสีสะพอสมควรแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงพาพระอรหันต์ผู้เป็นชฎิลจำนวน
๑,๐๐๐ รูปนั้นเสด็จ ไปยังกรุงราชคฤห์ นครหลวงแห่งแคว้นมคธ
เสด็จเข้าประทับอยู่ที่สวนลัฏฐิวัน ใกล้พระราชวังพระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าวนี้ ก็ได้เสด็จไปเฝ้า
พร้อมด้วยข้าราชบริพารและประชาชนจำนวนมาก พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดให้ได้บรรลุธรรมโปรดและมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
พระเจ้าพิมพิสารทรง มีพระราชศรัทธาถวายพระเวฬุวัน
(สวนไผ่) เพื่อเป็นวิหาร (วัด) แก่พระสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุข
ซึ่งนับ เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน ๑,๐๐๐ องค์นั้น
ได้ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหารต่อมาถึงวันขึ้น
๑ ค่ำ เดือนมาฆะ (เดือน ๓) เวลานั้น ปริพาชกมีชื่อ
๒ คน คืออุปติสสะ และ โกลิตะ เป็นสหายกัน ได้พาบริวาร
(รวมทั้งตัวเองด้วย) จำนวน ๒๕๐ คน เข้าไปเผ้าพระพุทธองค์ที่พระเวฬุวันวิหาร
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดประทานเอหิภิกขุสัมปทาถ้วนทุกคน
ปริพาชกที่เป็นบริวารได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั่วทุกคน
ส่วนอุปติสสะและโกลิตะผู้เป็นหัวหน้ายังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น
ครั้นต่อมาอีก ๗ วัน พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดท่านโกลิตะ
ให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครั้นต่อมาถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ
(ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓) พระ พุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่ทีฆนขะปริพาชกที่ถ้ำสูกรขตา
(ถ้ำที่สุกรขุด) ข้างเขาคิชฌกูฎ ท่านอุปติสสะนั่งถวาย
งานพัดพระพุทธองค์อยู่ ได้ฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว
ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ต่อมาพระพุทธองค์ทรงยกย่องพระอุปติสสะ
เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ปรากฏพระนามว่า พระสารีบุตร
อัครสาวก ยกย่องพระโกลิตะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายปรากฏนามว่าพระมหาโมคคัลลานะอัครสาวก
ทรงเปิดประชุมจาตุรงคสันนิบาตในตอนบ่ายแห่งวันเพ็ญเดือนมาฆะวันนั้นขณะที่พระพุทธองค์เสด็จกลับ
จากถ้ำสูกรขาตาข้างเขาคิชฌกูฏมาถึงพระเวฬุวันวิหารพระสงฆ์อรหันต์สาวกจำนวน
๑,๒๕๐ องค์ ก็ได้มาชุมนุม พร้อมกันเฉพาะพระพักตร์ต่างองค์ต่างมุ่งมาเฝ้าพระพุทธองค์ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งการประชุมสงฆ์ครั้งนี้ประกอบ ด้วยองค์ ๔ จึงเรียกว่า
จาตุรงคสันนิบาต คือ
(๑.) วันนั้นเป็นวันมาฆปุณณมี วันอุโบสถขึ้น ๑๕
ค่ำเดือน มาฆะ
(๒.) พระอริยสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมกันโดยมิได้มีการนัดหมาย
(๓.) พระอริยสงฆ์ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา
๖
(๔.) พระอริยสงฆ์ทั้งนั้น ล้วนเป็นเอหิภิกขุคือ
ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธองค์เอง
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าการประชุมประกอบด้วยองค์
๔ ดังกล่าวนี้ เป็นโอกาสดียิ่งที่จะได้ทรงแสดงหลักการ
สำคัญทางพระพุทธศาสนา จึงทรงเปิดการประชุมและทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมนั้น
ทรงโปรดพระพุทธบิดา พระนางพิมพาและราหุล
ต่อจากวันเพ็ญเดือนมาฆะนั้นมา พระพุทธองค์ได้ทรงส่ง
พระอริยสาวกจำนวน ๑,๒๕๐ องค์นั้นออกไปประกาศพระพุทธศาสนา
กิตติศัพท์ได้เลื่องลือไปถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ว่า
พระพุทธองค์เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จจารึกโปรดเวไนยชนให้เลื่อมใสออกบวชเป็นพระสงฆ์
และเป็นอุบาสก อุบาสิกา ได้สำเร็จมรรคผลเป็นจำนวนมาก
ขณะนี้กำลังประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์
แคว้นมคธ พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดาทรงทราบกิตติศัพท์นั้นแล้ว
จึงทรงส่งทูตมาทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จ
ไปกรุงกบิลพัสดุ์ แต่ส่งทูตมาอย่างนี้ถึง ๙ ครั้ง
พระพุทธองค์ยังมิได้เสด็จ ต่อมาพอย่างเข้าปีที่
๒ นับแต่ตรัสรู้ พระเจ้าสุทโธทนะ จึงทรงส่งทูตมาอาราธนาอีก
โดยทรงมอบให้กาฬุทายีอำมาตย์เป็นหัวหน้าคณะทูตที่มาคราว
นี้ก็ได้บวชเป็นพระสงฆ์ และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งคณะ
ครั้นย่างเข้าฤดูร้อนพระกาฬุทายีจึงทูลอาราธนา
พระพุทธองค์เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ตามคำอาราธนาของพระพุทธบิดา
พระพุทธองค์พร้อมพระอริยสงฆ์จำนวน ๒ หมื่นรูป
จึงได้เสด็จไปโดยมีพระกาฬุทายีเป็นผู้นำทางเสด็จดำเนินเป็นเวลา
๖๐ วันก็ถึงกรุงกบิลพัสดุ์ประทับอยู่ที่นิโครธรามใกล้ป่ามหาวัน
ซึ่งพระญาติจัดไว้ถวาย ซึ่งได้ทรงแสดงเวสสันดรชาดกโปรดพระประยูรญาติให้เลื่อมใส
วันรุ่งขึ้นได้เสด็จออกบิณฑบาตโปรดประชาชนในกรุงกบิลพัสดุ์
ในการเสด็จเยือนกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งนี้นอกจากได้
ทรงแสดงเวสสันดรชาดกโปรดพระประยูรญาติให้เลื่อมใสดังกล่าวแล้ว
ยังทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา ให้สำเร็จเป็นพระสกทาคามี
โปรดพระนางปชาบดีโคตมี และพระนางพิมพาให้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
และโปรดให้พระราหุลกุมารบรรพชาเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา
โดยทรงมอบให้พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่จำเนียรกาลต่อมาพระราหุลได้อุปสมบทและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
เสด็จแคว้นโกศล เมื่อประทับอยู่ที่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว
พระพุทธองค์ได้เสด็จจากกรุงกบิล พัสดุ์กลับไปยังกรุงราชคฤห์
ประทับอยู่ที่สีสปาวัน (ป่าสีเสียดหรือป่ากะทุ่มเลือด)ครั้งนั้นเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี
แคว้นโกศล ชื่อ อนาถปิณทิกะ(เดิมชื่อสุทัตตะ)
ได้ไปทำธุรกิจที่กรุงราชคฤห์ และเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้วได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
ได้ทูลอาราธนาพระพุทะองค์เสด็จไปกรุงสาวัตถี แล้วตนเองได้กลับไปเมืองสาวัตถีก่อน
เพื่อเตรียมการรับเสด็จพระพุทธองค์และได้สร้างพระเชตวันมหาวิหาร
เตรียมถวาย
ต่อมา พระพุทธองค์ได้เสด็จไปเมืองสาวัตถี ตามคำทูลอาราธนาของท่านเศรษฐีนั้น
เมื่อเสด็จถึงแล้ว ท่าน เศรษ ฐีก็ถวายการต้อนรับอย่างดีด้วยความเคารพเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
และได้ถวายพระเชตวันมหาวิหารแด่พระสงฆ์ มี พระพุทธองค์เป็นประมุขพระพุทธองค์ทรงรับพระวิหารไว้ในพระพุทธศาสนา
ทรงอนุโมทนาแสดงธรรมกถาโปรดตามควรแก่อัธยาศัย
ระหว่างที่ประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหารนี้
พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรด พระเจ้า ปเสนทิโกศล
ให้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และทรงโปรดพระนางมัลลิกาอัครมเหสีให้ได้ดวงตาเห็นธรรม
ครั้งนั้น เหตุการณ์ภายในเมืองสาวัตถีกำลังปั่นป่วน
เพราะมีโจรใจเหี้ยมคนหนึ่งชื่อ "องคุลิมาล"
ได้ออกอาละ วาดฆ่าคนเป็นจำนวนมาก โดยตัดนิ้วมือของคนที่ถูกฆ่าคนละนิ้วคล้องเป็นพวงมาลัย
๙๙๙ นิ้ว ยังเหลือเพียงนิ้ว เดียวก็จะครบ ๑,๐๐๐
นิ้วตามต้องการเวลานั้นมารดาขององคุลิมาลคิดถึงลูกมากประสงค์จะไปเยี่ยมลูกพระพุทธองค์ทรงเห็นว่าหากองคุลิมาลได้พบมารดาก็จะฆ่ามารดาของตนเสียจะเป็นบาปหนักจึงเสด็จไปโปรดองคุลิมาลให้มีความเลื่อมใสให้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
พระประยูรญาติทรงผนวชตามเสด็จ ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมอัมพวันแห่งแคว้นมัลละ
เวลานั้น กษัตริย์ศากยราชผู้เป็นพระประยูรญาติ
๖ พระองค์ คือ พระภัททิยะ พระอนุรุทธะ พระอานนท์
พระภัคคุ พระกิมพิละและพระเทวทัต ทรงเลื่อมใสในพระพุทธจริยา
ประสงค์จะผนวชตามเสด็จพระพุทธองค์จึงพร้อมกันชวนนายช่างกัลบกชื่อ
อุบาลี พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ ที่ประทับ ทูลขออุปสมบท
พระพุทธองค์ก็ประทานอุปสมบทให้ตามประสงค์ โดยให้นายช่างกัลบกอุปสมบทก่อน
กษัตริย์ศากยาราชทั้ง ๖ องค์ นั้นอุปสมบทใน ภายหลัง
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดตามควรแก่อัธยาศัย
ต่อมาท่านเหล่านั้น นอกจากพระเทวทัต และ พระอานนท์
ได้ปฏิบัติวิปัสสนาจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ส่วนพระอานนท์ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน พระเทวทัตนั้นได้บรรลุสมาบัติ
มีอิทธิฤทธิ์ตามวิสัยปุถุชน
ทรงห้ามพระประยูรญาติวิวาทเรื่องน้ำ
ครั้งหนึ่ง พระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายคือ ฝ่ายกรุงกบิลพัสด์
และฝ่ายโกลิยนคร ได้วิวาทกันด้วยแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีเพื่อระบายน้ำไปสู่พื้นที่ทำนาในเขตของตน
เริ่มด้วยพวกคนงานทะเลาะกัน และลามไปถึงกษัตริย์
ทั้งสองฝ่ายได้เตรียมอาวุธยกกำลังเข้าประจันหน้ากัน
จวนจะเกิดศึกอยู่รอมร่อแล้ว ครั้งนั้น ขณะพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่แคว้นสักกะ
ทรงเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายให้ระงับการวิวาทบาดหมางกัน
โดยทรงชี้ให้เห็นว่าชีวิตกษัตริย์ ชีวิตคนนั้นแพงกว่าน้ำมากนักไม่ควรเห็นน้ำดีกว่าคน
พระญาติทั้งสองฝ่ายจึงเลิกวิวาทกันและมีความสามัคคีกันทรงโปรดช้างนาฬาคีรี
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร
กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่งขณะ ที่พระพุทธองค์เสด็จออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
พระเทวทัตศิษย์ทรยศของพระพุทธองค์ได้ติดสินบนควาญช้างให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีเพื่อทำร้ายพระพุทธองค์ตามแผนการ
แต่ด้วยเมตาจิตของพระพุทธองค์ ช้างตกมันก็ หายพยศ
กลับคุกเข่าลงหมอบลงตรงพระพักตร์พระพุทธองค์ ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธบิดา
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา
ป่ามหาวัน ใกล้ เมืองเวสาลี แค้วนวัชชี ทรงจำพรรษา
ณ ที่นี้เป็นพรรษาที่ ๕ ครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะ
ทรงประชวรหนักจึงเสด็จเยี่ยมพระพุทธบิดาที่กรุงกบิลพัสดุ์
พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์พุทธสาวก ครั้นเสด็จถึงแล้วได้ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาให้ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
หลังจากนั้น ๗ วัน พระพุทธบิดาก็ สวรรคต พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์และพระประยูรญาติจึงพร้อมกันจัดถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธบิดา
พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกถูกประทุษร้าย การที่พระพุทธองค์ได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงมั่นคง
ในมัธยมประเทศ (ภาคกลางชมพูทวีป) และแพร่หลายไปในที่ต่างๆอย่างรวดเร็วนั้น
ก็ด้วยการร่วมกำลังกันเผย แพร่ของพุทธบริษัทที่สำคัญคือ
พระสงฆ์ พุทธสาวก และบรรดาพระสงฆ์สาวกนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ
พระอัครสาวกทั้ง ๒ คือ พระสารีบุตรเถระ และพระมหาโมคคัลลานะเถระซึ่งเป็นกำลังสำคัญยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์
จึงเป็นที่อิจฉาริษยาของมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะพระมหาโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์มากนั้นมีผู้ปองร้ายอยู่
ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเมื่อท่านจำพรรษาอยู่ที่กาฬศิลา
แคว้นมคธ ก็ได้ถูกกลุ่มอาชญากรประทุษร้ายด้วยการว่าจ้าง
ของกลุ่มมิจฉาทิฏฐิ
แม้พระพุทธศาสนาจะได้เจริญแพร่หลายแล้ว จำนวนพุทธสาวกได้เพิ่มขึ้น
พุทธบริษัทมากมายจนนับไม่ถ้วน ถึงกระนั้น พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงหยุดยั้งในการทรงบำเพ็ญพุทธกิจ
คงเสด็จจาริกไปแสดงธรรมโปรดประชาชนทั่วไปตลอดเวลา
๔๕ พรรษา นับแต่พรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี จนพรรษาสุดท้ายที่หมู่บ้านเวฬุคาม
แขวงเมืองเวสาลี ณ ที่นี้ และพรรษาสุดท้ายนี้
พระพุทธองค์ก็ทรงประชวรหนักแต่ทรงข่มเสีย ด้วยพระสติสัมปชัญญะ
ครั้นออกพรรษาแล้วล่วงวันเพ็ญเดือนมาฆะ พระพุทธองค์จึงทรงปลงพระชนมายุสังขาร
คือ ทรงกำหนดพระทัยเรื่องพระชนมายุว่าต่อแต่นี้ไปอีก
๓ เดือน พระองค์จักปรินิพพาน
ต่อแต่นั้นมา พระพุทธองค์ก็เสด็จจาริกโปรดเวไนยไปในที่ต่างๆ
จนเสด็จถึงเมืองปาวา เข้าประทับที่สวนมะ ม่วงของนายจุนทะ
บุตรนายช่างทอง ได้เสวยพระกายาหารมื้อสุดท้ายที่นายจุนทะถวาย
ทรงแสดงธรรมโปรด นายจุนทะให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
แล้วทรงอำลานายจุนทะ เสด็จดำเนินต่อไป ผ่านสถานที่ต่างๆไปโดยลำ
ดับจนถึงป่าสาลวัน เขตเมืองกุสินารา รับสั่งพระอานนท์ให้ปูลาดที่บรรทมระหว่างต้นสาละคู่หนึ่ง
ให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร แล้วประทับสำเร็จสีหไสยา
คือ การบรรทมตะแคงขวาเป็นอนุฏฐานไสยา คือ การบรรทมโดยมิได้ทรงกำหนดว่าจะทรงลุกขึ้นเมื่อนั้น
เมื่อนี้ ณ ตอนบ่ายวันเสด็จถึงนั้นและในคืนวันนั้นสุภัททะปริพาชก
ได้มาเฝ้าขออุปสมบทเป็นพระสาวกองค์สุดท้ายของพระพุทธองค์ต่อจากนั้นพระองค์ก็ได้ประทานพระโอวาท
แก่ภิกษุสงฆ์ครั้นถึงยามสุดท้ายแห่งวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ครั้นรุ่งเช้า เมื่อข่าวการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธองค์ทราบถึงพวกมัลลกษัตริย์และชาวเมืองกุสินาราแล้ว
กษัตริย์ และประชาชนก็ได้พากันมานมัสการพระบรมพุทธสารีระแสดงความโศรกเศร้าอาลัยโดยทั่วหน้า
ครั้น ล่วงไป 7 วันแล้ว จึงเชิญพระบรมศพไปประดิษฐาน
ณ มกุฎพันธนเจดีย์ เพื่อถวายพระเพลิงเมื่อพระมหากัสสปเถระ
พร้อมด้วยบริวารมาถึง และที่ประชุมพร้อมแล้ว จึงได้พร้อมกันถวายพระเพลิงครั้น
ถวายพระเพลิงเสร็จแล้วพวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราก็ได้รวบรวมพระบรมสารีริกธาตุที่เหลืออัญเชิญไป
ประดิษฐานไว้ ณ สัณฐาคารศาลาภายในพระนครเพื่อเป็นที่สักการบูชาสืบไป
ต่อมามีกษัตริย์และพราหมณ์ตามเมืองต่างๆ ได้มาขอพระบรมธาตุ
กล่าวคือกษัตริย์เมืองราชคฤห์ เมืองเวสาลี เมืองกบิลพัสดุ์
เมืองอัลลกัปปะ เมืองรามคาม พราหมณ์ เมืองเวฏฐทีปกะ
และเมืองปาวา มัลลกัษตริย์ก็แจกจ่ายถวายโดยทั่วกัน
ส่วนโทณพราหมณ์ เมืองกุสินารา ผู้ทำหน้าที่แบ่งพระบรมธาตุ
ได้ทะนานตวงพระธาตุไว้เป็นสักการบูชา
คัดมาจาก: คณะอนุกรรมการส่งเสริมพระพุทธศาสนา
และจริยธรรม สำนักนายกรัฐมนตรี พุทธศักราช ๒๕๓๖
http://www.geocities.com/watplub/his_budhda.htm
การเกิดนิกาย
เถรวาท [เถ-ระ-วาด] แปลว่า คำของพระเถระ เป็นชื่อนิกายสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
เรียกว่า นิกายเถรวาท, คู่กับ นิกายอาจริยวาท
หรือ เรียกว่า มหายาน, เดิมทีพระสงฆ์ยังไม่มีนิกาย
ครั้นพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วประมาณ ๑๐๐ ปี พระสงฆ์เกิดมีความเห็นขัดแย้งกันในการปฏิบัติตามพระพุทธบัญญัติ
และข้อปฏิบัติปลีกย่อย บรรดาพระเถระจึงประชุมกันวินิจฉัยแล้วพระสงฆ์บางพวกก็ปฏิบัติตาม
ฝ่ายนี้เรียกว่า นิกายเถรวาท, ส่วนฝ่ายที่ยังทำตามอาจารย์ของตน
เรียกว่า นิกายอาจริยวาท อาจาริวาท หลังจากนั้นมาก็แยกออกไปเป็นหลายนิกาย
จนเกิดนิกายขึ้นมาใหม่และยังคงดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่นคือ
นิกายมหายาน พวกเถรวาทบางทีเรียก หีนยาน หรือ
ทักษิณนิกาย ส่วนนิกายพวกอาจริยวาท บางทีเรียกว่า
มหายาน หรือ อุตรนิกาย.
เวลาเกิดนิกาย
ประมาณ ๑๐๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน
สถานที่เกิด
วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย
สถานที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๒
สาเหตุการเกิด
ความเห็นที่ไม่ลงรอยกันของคณะสงฆ์ในเรื่องวินัยบางประการ
เหตุการณ์เกิดนิกายนี้เริ่มต้นในการสังคายนาครั้งที่
๒ ในที่ประชุม สังคายนา ได้พิจารณาข้อบัญญัติ
10 ประการ เหล่านั้น ว่า ข้อวัตรของภิกษุ ฝ่ายตะวันออก
ไม่ถูกต้อง ตามพระวินัย การกระทำเช่นนี้ ไม่ลงรอยกับ
พระปาฏิโมกข์ บ่อนทำลาย ความมั่นคงของ พระพุทธศาสนา
ที่ประชุมสังคายนา ในครั้งนั้น ให้กำจัด ข้อบัญญัติ
10 ประการ เหล่านั้น ออกไป ในการลงมติ พระภิกษุวัชชีบุตร
ภิกษุชาวเมืองเวสาลี ไม่เห็นชอบด้วย ไม่พอใจ จึงได้จัดทำ
สังคายนาขึ้นเอง ต่างหาก เรียกว่า “มหาสังคีติ”
และพระภิกษุฝ่ายนี้ เรียกว่า “มหาสังฆิกะ” ส่วนภิกษุฝ่ายตะวันตก
ได้นามว่า “เถรวาทิน” การเปลี่ยนแปลง ที่ยิ่งใหญ่
ในสังฆมณฑล เริ่มก่อตัวขื้นแล้วจากสถาณการณ์นี้
ประเภทของศาสนา
เป็นศาสนาอเทวนิยม ไม่มีการนับถือพระเจ้าไม่สอนให้เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก
ไม่เชื่อว่าสรรพสิงเกิดจากปฐมเหตุอันเดียวกัน
แต่เชื่อว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย
ตามกฏปัจจยาการ พระพุทธศาสนายอมรับว่ามีเทดาหรือเทพเจ้าต่างๆแต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นผู้กำหนดชีวิตมนุษย์หรือให้กำเนิดมนุษย์
คำสอนสำคัญ
พระพุทธศาสนาเถรวาทให้ความสำคัญต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่อง
อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท อริยมรรคมีองค์ ๘ ไตรลักษณ์
เพราะคำสอนเหล่านี้เป็นคำสอนที่ทำให้พระพุทธศาสนามีความเด่นที่แตกต่างจากศาสนาอื่นๆตั้งแต่สมัยพุทธกาลและจนกระทั่งถึงกาลปัจจุบัน
คำสอนเหล่านั้นมีเนื้อหาสาระโดยสังเขปดังนี้
คำสอนเรื่องอริยสัจ ๔
"ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล เป็นทุกขอริยสัจ
คือ ชาติ(การเกิด) ก็เป็นทุกข์ ชรา(ความแก่) ก็เป็นทุกข์
พยาธิ(ความเจ็บไข้) ก็เป็นทุกข์ มรณะ(ความตาย)
ก็เป็นทุกข์ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
การพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่อ อุปาทานขันธ์๕ เป็นทุกข์
ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ
คือ ตัณหาอันทำให้มีภพใหม่ ประกอบด้วยความเพลินและความติดใจ
คอยเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหา
ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ
การที่ตัณหานั้นแลดับไปได้ด้วยอาการสำรอกออกหมด
ไม่มีเหลือ การสละเสียได้ สลัดออก พ้นไปได้ ไม่หน่วงเหนี่ยวพัวพัน
ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
คือ อริยมรรคมีองค์๘ นี้แหละ ได้แก่ สัมมาทิฎฐิ
ฯลฯ สัมมาสมาธิ"
คัดมาจาก พระเทพเวที , พุทธธรรม . กรุงเทพ ฯ ::
โรงพิพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , 2532.
ความหมายของอริยสัจ ๔
อริยสัจ ๔ (ความจริงอันประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ,
ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ - The
Four Noble Truths)
๑. ทุกข์ (ความทุกข์, สภาพที่ทนได้ยาก, สภาวะที่บีบคั้น
ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสารและความเที่ยงแท้ ไม่ให้ความพึงพอใจแท้จริง,
ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก
การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความปรารถนาไม่สมหวัง
โดยย่อว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ - suffering;
unsatisfactoriness)
๒. ทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์, สาเหตุให้ทุกข์เกิด
ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
- the cause of suffering; origin of suffering)
๓. ทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป,
ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา สำรอกตัณหาสิ้นแล้ว
ไม่ถูกต้อง ไม่ติดข้อง หลุดพ้น สงบ ปลอดโปร่ง
เป็นอิสระ คือนิพพาน - the cessation of suffering;
extinction of suffering)
๔. ทุกขนิโรธคามีนิปฏิปทา (ปฏิปทาที่นำไปสู่ความดับแห่งทุกข์,
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ อริยอัฏฐังคิกมรรค
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า
ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ นี้ สรุปลงในไตรสิกขา
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา - the path leading to the
cessation of suffering)
อริยสัจ ๔ นี้ เรียกกันสั้นๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย
นิโรธ มรรค การแสดงอริยสัจ ๔ นี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
สามุกกังสิกา ธรรมเทศนา (เช่น องฺ.อฏฺ?ก.๒๓/๑๐๒/๑๙๐)
แปลตามอรรถกถาว่า พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงหยิบยกขึ้นถือเอาไว้ด้วยพระองค์เอง
คือ ทรงเห็นด้วยพระสยัมภูญาณ (= ตรัสรู้เอง) ไม่สาธารณะแก่ผู้อื่น
(แต่ตามที่อธิบายกันมา มักแปลว่า พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นแสดงเอง
โดยไม่ต้องปรารภคำถามหรือการทูลขอร้องของผู้ฟัง
อย่างการแสดงธรรมเรื่องอื่นๆ; ความจริง จะแปลว่า
พระธรรมเทศนาขั้นสุดยอดก็ได้ ซึ่งสมกับเป็นเรื่องที่ทรงแสดงท้ายสุดต่อจาก
อนุปุพพิกถา ๕
คัดมาจาก http://www.dhamma.th.gs
คำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักธรรมคำสอนที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนา
เป็นหลักคำสอนที่แสดงถึงความลำเลิศทางปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า
และเป็นหลักคำสอนที่แสดงให้เห็นว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยมอย่างชัดเจน
เพราะแสดงให้เห็นถึงหลักกำเนิดและการดำเนินไปของสิ่งทั้งปวง
ปฏิจจสมุปบาท ว่าด้วยกฎธรรมชาติของชีวิต หากพิจารณาตามกฎนี้โดยมีลักษณะเป็นสัจจธรรมแล้ว
ทุกชีวิตจะเกิดขึ้นดำรงอยู่ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน
อิงอาศัยกันเกิดขึ้น ดำรงอยุ่และเปลี่ยนแปลงไปโดยอิสระไม่ต้องอาศัยส่วนอื่น
การดำเนินของชีวิต ย่อมเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ทั้งระบบเหมือนเครื่องยนต์
ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งหมายถึง ภาวะที่อาศัยกันเกิดขึ้น
ดังพุทธพจน์ที่ตรัสว่า
อิมัสสะมิง สติ อิทัง โหติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
อมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชติ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น
สิ่งนี้ก็มีไม่ได้
อิมัสสะมิง อสติ อิทัง น โหติ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี
สิ่งนี้ไม่มี
อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ เพราะสิ่งนี้ดับไป
สิ่งนี้จึงดับ
จากพุทธพจน์นี้จะเห็นว่า องค์ประกอบของชีวิตทุกส่วนย่อมอาศัยกัน
มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันทั้ง
ในการเกิด ตั้งอยู่ และสลายไป
ความหมายของคำว่า ปฏิจจสมุปบาท
คำว่า ปฏิจจสมุปบาท มาจากศัพท์ว่า ปฏิจจ สํ และอุปปาท
ปฏิจจ หมายถึง เกี่ยวเนื่องกัน สัมพันธ์กัน
สํ หมายถึง พร้อมกัน หรือด้วยกัน
อุปปาท หมายถึง การเกิดขึ้น
ปฏิจจสมุปบาท จึงหมายถึง สิ่งที่อิงอาศัยกันเกิดขึ้น
ได้แก่ ภาวะของสิ่งที่ไม่เป็นอิสระของตนต้องอาศัยกันและกันจึงเกิดขึ้นได้คำที่มีความหมายเช่นเดียวกันนี้
มีอีก ๒ คำคือ ปัจจยาการ และอิทับปัจจยตาปัจจยาการ
หมายถึงอาการที่สิ่งทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กันและกัน
ซึ่งหมายถึงสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ จะเกิดขึ้นเป็นอยู่
ด้วยตนเองโดยปราศจากเหตุปัจจัยไม่ได้ ต้องอิงอาศัยกัน
อิทัปปัจจยตา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธรรมนิยามสูตรว่า
ภิกษุทั้งหลาย ตถตา อวตถตา อนัญญถตา นี่คือหลักของอิทัปปัจจยตา
หรือ ปฏิจจสมุปบาท
องค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาท
องค์ประกอบของชีวิต ซึ่งมีความสัมพันธ์กันตามหลักของปฏิจจสมุปบาทนี้
ท่านเรียกว่าองค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมี
อวิชชา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ แต่ละองค์มีความสัมพันธ์กันเหมือนลูกโซ่
ชีวิตของสัตว์ก็ย่อม
หมุนเวียนอยู่ในวัฏจักร มีความเกี่ยวเนื่องกันเหมือลูกโซ่
ดังนี้
อวิชชา เป็นปัจจัยให้มี สังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยให้มี วิญญาณ
วิญญาณ เป็นปัจจัยให้มี นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยให้มี สฬายตนะ
สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้มี ผัสสะ
ผัสสะ เป็นปัจจันให้มี เวทนา
เวทนา เป็นปัจจัยให้มี ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยให้มี อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้มี ภพ
ภพ เป็นปัจจัยให้มี ชาติ
ชาติ เป็นปัจจัยให้มี ชรามรณะ
ชรามรณะ เป็นปัจจัยให้มี โสกะ , ปริเทวะ
องค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาท ๑๒ องค์นี้ เป็นส่วนประกอบของชีวิต
ผู้ที่ยังตัดอวิชชาไม่ได้แม้ตาย
ไปแล้วอวิชชาก็เป็นปัจจัยให้มีสังขาร สังขารก็เป็นปัจจัยให้มีวิญญาณ
ฯลฯ ต่อไปอีกไม่รู้จักจบสิ้น
การเรียนรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้จึงเป็นการเรียนรู้กฎธรรมชาติของชีวิต
จะได้ไม่ต้องหลงไหลในเหตุ
ปัจจัยภายนอก เพราะชีวิตนั้นหมุนเวียนไปตามวัฏฏะ
คือ กิเลส กรรม วิบาก ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเราได้รับผลอย่างไรของชีวิต เช่น มีสุข ทุกข์
ดี ชั่ว อย่างไรก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นเพราะเหตุคือ
กรรม ที่ต้องทำกรรม ก็เพราะกิเลสเป็นเหตุให้ทำ
ตราบใดที่ยังตัดกิเลสไม่ได้ชีวิตก็ต้องเป็นอยู่อย่างนี้
หมุนอยู่อย่างนี้ร่ำไป เมื่อเข้าใจถูกต้องอย่างนี้
ความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญาก็จะเกิดขึ้น จะเกิดความเชื่ออย่างมีเหตุผล
เช่นเชื่อว่าชีวิตทุกชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม และกรรมนั่นเอง
เป็นผู้ลิขิตชีวิตให้เป็นไปต่าง ๆ กัน ดีบ้าง
เลวบ้าง เพราะชีวิตกรรมลิขิต
ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร
ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า ภาวะที่อาศัยกันเกิดขึ้นซึ่งเป็นระบบการกำเนิดของชีวิตอันเป็นกฎเกณฑ์แห่งชีวิตศาสนาสอนว่าชีวิตทุกชีวิตมีส่วนเป็นเหตุเป็นผลอาศึกกันเกิดขึ้นเนื่องกันไม่ขาดสายเมื่อสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
ก็เป็นเหตุให้อีก สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นสืบต่อกันเป็นลูกโซ่
ไม่รู้จักจบสิ้น องค์ประกอบของชีวิตตามหลักของปฏิจจสมุปบาท
ซึ่งเรียกว่า องค์แห่งภวจักร หรือองค์แห่งปฏิจจสมุปบาท
ท่านแบ่งไว้ ๑๒ องค์ คือ
๑. อวิชชา ความไม่รู้ความจริง
๒. สังขาร การปรุงแต่ง
๓. วิญญาณ การรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ
๔. นามรูป นามขันธ์ ๕ รูปขันธ์ ๒
๕. สฬายตนะ อายาตนะภายใน อายตนะภายนอก
๖. ผัสสะ การถูกต้อง
๗. เวทนา การเสวยอารมณ์
๘. ตัณหา ความอยาก
๙. อุปาทาน ความยึดมั่น
๑๐.ภพ ความมี ความเป็น
๑๑.ชาติ ความเกิด
๑๒.ชรามรณะ ความแก่และความตาย
ทั้ง ๑๒ องค์นี้ เป็นส่วนประกอบของชีวิต ทุก ๆ
องค์อาศัยกันเกิดมีความสัมพันธ์กัน เช่น
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ
ฯลฯ
ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรามรณะ
นี่เป็นปฏิจจสมุปบาท ๑ วง หรือชีวิตหมุนไป ๑ รอบวงจรแห่งปฏิจจสมุปบาท
นิยมเรียกว่า ภวจักร
ซึ่งแปลว่า วงล้อแห่งภพ หรือ สังสารจักร ซึ่งแปลว่า
วงล้อแห่งสังสารวัฏ
ปฏิจจสมุปบาทในฐานะมัชเฌนธรรมเทศนา
ความเข้าใจในปฏิจจสมุปบาท เรียกว่าเป็นสัมมาทิฐิ
หรือเห็นถูกต้อง และความเห็นที่ถูกต้องนี้เป็นความเห็นชนิดที่เรียกว่าเป็นกลางไม่เอียงสุดไปทางใดทางหนึ่ง
ปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นหลักหรือกฏที่แสดงความจริงเป็นกลาง
ๆไม่เอียงสุด อย่างที่เรียกว่า "มัชเฌนธรรมเทศนา"
ความเป็นกลางของหลักความจริงนี้ มีโดยการเทียบกับลัทธิหรือทฤษฎีเอียงสุดต่าง
ๆ และความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทโดยถูกต้องจะต้องแยกออกจากทฤษฎีเอียงสุดเหล่านี้ด้วย
ดังนั้น ในที่นี้
ปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสังคม
ในมหานิทานสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่สำคัญมากสูตรหนึ่งและเป็นสูตรใหญ่ที่สุดที่แสดงปฏิจจสมุปบาท
พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักปัจจยาการทั้งที่เป็นไปภายในจิตใจของบุคคลและที่เป็นไปในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
หรือในทางสังคมปฏิจจสมุปบาทแห่งทุกข์หรือความชั่วร้ายทางสังคมก็ดำเนินตามวิถีเดียวกับปฏิจจสมุปบาทแห่งทุกข์ของชีวิตนั่นเอง
แต่เริ่มแยกออกแสดงอาการที่เป็นไปภายนอกต่อแต่ตัณหาเป็นต้นไป
คัดมาจาก http://www.geocities.com
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม http://www.nkgen.com http://www4.nt.ac.th
http://www.dharma-gateway.com
http://www4.nt.ac.th/first-web-nt/dhumma-online/1mainpage.htm
คำสอนเรื่อง มรรค 8 ( อัฏฐังคิกมรรค )
. .(มรรค = อริยมรรค = มัชฌิมาปฏิปทา = มรรคแปด
= ทางดำเนินชีวิตอันประเสริฐ = ทางสายกลาง).แนวทางดำเนินอันประเสริฐของชีวิตหรือกาย
วาจา ใจ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์เรียกว่า อริยมรรค
แปลว่าทางอันประเสริฐ เป็นข้อปฏิบัติที่มีหลักไม่อ่อนแอ
จนถึงกับตกอยู่ใต้อำนาจ ความอยากแห่งใจ แต่ก็ไม่แข็งตึงจนถึงกับเป็นการทรมานกายให้เหือดแห้งจากความสุขทากาย
เพราะฉะนั้นจึงได้เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือทางดำเนินสายกลาง
ไม่หย่อนไม่ตึง แต่พอเหมาะเช่นสายดนตรีที่เทียบเสียงได้ที่แล้ว
คำว่ามรรค แปลว่าทาง ในที่นี้หมายถึงทางเดินของใจ
เป็นการเดินจากความทุกข์.ไปสู่ความเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งมนุษย์หลงยึดถือและประกอบขึ้นในตนด้วย.อำนาจของอวิชชา
....มรรคมีองค์แปด คือต้องพร้อมเป็นอันเดียวกันทั้งแปดอย่างดุจเชือกฟั่นแปดเกลียว
องค์แปดคือ :-
..........1. สัมมาทิฏฐิ ิคือความเข้าใจถูกต้อง
..........2. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง
..........3. สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง
..........4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง
..........5. สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพถูกต้อง
..........6. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง
..........7. สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจถูกต้อง
..........8. สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม http://www.learntripitaka.com
http://www.thammatipo.com
คำสอนเรื่องไตรลักษณ์ หรือสามัญญลักษณะ
ไตรลักษณ์ หมายถึง ลักษณะสามัญ ๓ ประการสิ่งทั้งปวง
ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ลักษณะ ๓ ประการนี้เป็นเหมือนกฎธรรมชาติ
ครอบงำสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
สามัญลักษณะ ประกอบด้วย อนิจจตา ทุกขตา และอนัตตตา
๑.อนิจจตา ความไม่คงที่ ไม่ถาวร หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรเที่ยงแท้
สิ่งมีชีวิต เมื่อเกิดแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงตามวัย
จากเด็กเติบโตมาเป็น
วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยชรา และตายไป สิ่งมีชีวิตก็เช่นเดียวกัน
จะต้องมีการทรุดโทรม ผุกร่อน และเสื่อมโทรมไปในที่สุด
๒.ทุกขตา ความเป็นทุกข์ของสิ่งทั้งปวง คือ ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
๓.อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน คือ สรรพสิ่งไม่มีแก่นสารหรือตัวตนถาวรใดๆ
เป็นแต่เพียงกระแสเกิดดับๆ ของธรรมชาติฝ่ายรูปและธรรมชาติฝ่ายนาม
ซึ่งธรรมชาติทั้ง ๒นี้ก็อยู่ในกระแสเกิดดับตลอดเวลาเช่นกัน
จุดมุ่งหมายของศาสนิกชน
ชาวพุทธเถรวาทมีจุดมุ่งหมาย ๒ ระดับ คือระดับวิถีชีวิตแบบคนธรรมดา
เรียกว่า ระดับโลกิยะ และระดับอริยบุคคล เรียกว่า
โลกุตตระ
๑. ประโยชน์ในปัจจุบัน (ทิฏฐธัมมิกัตประโยชน์)
หมายถึงความสำเร็จคือมีความสุขในการหาเลี้ยงชีพและการเป็นอยู่ที่ดีในสังคม
- ความขยันหมั่นเพียรในการเลี้ยงชีพ
- การรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้
- การคบเพื่อนที่ดี
- การดำรงชีวิตโดยเหมาะสม (ไม่ฟุ่มเฟือยหรือฝืดเคืองเกินไป)
ประโยชน์เพื่ออนาคต (สัมปรายิกัตถประโยชน์) หมายถึงประโยชน์ทางศีลธรรม
- ศรัทธา ความเชื่อ
- ศีล ความประพฤติดีงาม
- จาคะ การเอื้อเฟื้อให้ปัน
- ปัญญา ความรู้ความฉลาด
๒. ประโยชน์สูงสุด (ปรมัตถประโยชน์) ได้แก่พระนิพพาน
คือความหลุดพ้นจากกิเสและกองแห่งทุกข์
-ศีล หมายถึง การประพฤติที่ดีงาม
-สมาธิ หมายถึง ความมีใจสงบมั่นคง
-ปัญญา หมายถึง ความเข้าใจรู้แจ้งในสัจธรรมของโลกและชีวิต
จุดมุ่งหมายระดับ ๑-๒ จัดเป็นโลกิยะ ส่วนจุดมุ่งหมายข้อที่
๓ จัดเป็นโลกุตตระ
อ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่
๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=132
http://www.geocities.com http://www.nkgen.com
http://www.panyathai.or.th
คัมภีร์หลัก
พระคัมภีร์หลักในพระพุทธศาสนา คือ พระไตรปิฎก
ไตรปิฎก “ปิฎกสาม”; ปิฎก แปลตามศัพท์อย่างพื้นๆ
ว่า กระจาด หรือตะกร้า อันเป็นภาชนะสำหรับใส่รวมของต่างๆ
เข้าไว้ นำมาใช้ในความหมายว่า เป็นที่รวบรวมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่จัดเป็นหมวดหมู่แล้วโดยนัยนี้
ไตรปิฎกจึงแปลว่าคัมภีร์ที่บรรจุพุทธพจน์ (และเรื่องราวชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา)
๓ ชุด หรือ ประมวลแห่ง คัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย
๓ หมวดกล่าวคือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก;
พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนา
ซึ่งรวบรวมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า ไว้เป็นหมวดหมู่
แบ่งออกเป็น ๓ ปิฎก ด้วยกันคือ
๑. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของ ภิกษุและภิกษุณี
๒. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาโดยทั่วไป
มีประวัติและท้องเรื่องประกอบ
๓. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วน ไม่มีประวัติ
และท้องเรื่องประกอบ
คัดมาจาก http://www.geocities.com
สัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างไร
สัญลักษณ์ศาสนา
ธรรมจักร หมายถึง เครื่องหมายทางพระพุทธศาสนา
เป็นรูปวงล้อมี ๘ ซี่บ้าง๑๒ ซี่บ้าง ถือเป็นสัญลักษณ์เริ่มแรกของพระพุทธศาสนา
ตราธรรมจักรถ้ามี ๔ กง อาจหมายถึงหลักอริยสัจ
๔
ตราธรรมจักรถ้ามี ๘ กง อาจหมายถึงมรรคมีองค์ประกอบ
๘ ประการ
ตราธรรมจักรถ้ามี ๑๖ กง อาจหมายถึงญาณ ๑๖ ในวิปัสสนากรรมฐาน
กงในตราธรรมจักรอาจมีหลายกง สุดแต่จะกำหนดความหมาย
ตามหลักธรรมที่ผู้สร้างเลื่อมใสหรือปฏิบัตินำมาย่อเข้าไว้
ภาพมาจาก http://www.palungjit.com/
ธรรมจักร ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาเถรวาทก็ใช้ธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์
ที่มาของสัญลักษณ์คือมาจากพระปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า
ที่มีชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และที่เรียกธรรมเทศนาชื่อนี้เนื่องด้วย
เป็นพระปฐมเทศนานี้ เป็นการเผยแพร่พระธรรมให้ประกฏแก่ชาวโลก
เปรียบประดุจธรรมราชรถ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปรารถนาจะใช้บรรทุกสรรพเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
ออกจาก ห้วงวัฎฎสงสาร ไปสู่แดนเกษม คือ พระอมตนิพพาน
โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นสารถีเอง
ส่วนประกอบที่ทำให้รถสามารถแล่นไปสู่ที่หมายได้
ก็คือ ล้อรถ หรือ จักร นั่นเอง ดังนั้นล้อแห่งธรรมราชรถ
จึงได้ชื่อว่า จักรธรรม หรือ ธรรมจักร ธรรมจักรนี้
ย่อมประกอบไปด้วย ส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ ดุม เป็นสัญลักษณ์หมายถึงโพธิปักขิยธรรม
กำ เป็นสัญลักษณ์หมายถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม และ
กง เป็นสัญลักษณ์หมายถึง อริยสัจ ๔
ประเทศที่นับถือ
นิกายเถรวาทเป็นนิกายหลักที่ได้รับการนับถือในประเทศศรีลังกา
(มากกว่า 70% ของประชากรทั้งหมด) และประเทศในแผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ได้แก่ กัมพูชา ลาว ไทย และพม่า นิกายเถรวาทได้รับการนับถือเป็นส่วนน้อยในประเทศจีน
(ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้) เนปาล บังคลาเทศ เวียดนาม
มาเลเซีย ตัวเลขผู้นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทอยู่ที่ประมาณ
100 ล้านคน (ประมาณ ๑๔๐ ล้าน ในปัจจุบัน ผู้เขียน)
อ้างอิงจาก (พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช)
ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์
ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548)
ประเทศที่นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทที่สำคัญได้แก่
ไทย ศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา ทั้ง ๕ประเทศนี้มีผู้นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทอย่างเป็นปึกแผ่น
ประเทศอื่นๆนอกจากนี้ก็มีแต่ไม่เป็นปึกแผ่นดังเช่น
๕ ประเทศเหล่านี้ ปัจจุบันพุทธศาสนาเถรวาทมีผู้นับถือกระจัดกระจายในหลายประเทศเพราะมีพระในเถรวาทนำไปเผยแพร่
ในประเทศไทย พุทธศาสนานิกายเถรวาทยังได้แบ่งเป็นนิกายย่อยอีก
2 นิกาย คือ มหานิกาย และ ธรรมยุตินิกาย
วันสำคัญทางศาสนา
วันมาฆบูชา
วันมาฆบูชา ต ร ง กั บ วั น ขึ้ น ๑ ๕ ค่ำ เ ดื
อ น ๓ "มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น
ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ
เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน
๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง
วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน
๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา
ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง
โอวาทปฎิโมกข์ แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร
กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ
เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป
คัดมาจาก http://www.dhammathai.org
วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้
และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ตรงกันทั้ง 3 คราว
เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน
ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เมื่อเช้าวันศุกร์
ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี
เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ
35 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น
15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี หลังจากออกผนวชได้
6 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา
เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้ประกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์เป็นเวลา
45 ปี พระชนมายุได้ 80 พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
เมื่อวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง
ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ
(ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ แคว้นอุตตรประเทศ
ประเทศอินเดีย)
ในวันสำคัญนี้ ชาวพุทธทั่วโลกมักจัดพิธีทำบุญใหญ่
นอกจากถือศีลฟังธรรมแล้ว ยังปล่อยนกปล่อยปลา และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถในตอนค่ำด้วย
องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลก
(ด้วยชื่อวันว่า "Vesak") โดยการเสนอของประเทศศรีลังกา
และมีมติเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2542 [1] โดยให้เหตุผลว่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์
เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา
เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ
และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน
อ้างอิง ^ UNITED NATIONS GENERAL ASSEMBLY. เรียกข้อมูลวันที่
22 มิถุนายน 2551
คัดมาจาก http://th.wikipedia.org
วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา ต ร ง กั บ วั น ขึ้ น ๑ ๕ ค่ำ
เ ดื อ น ๘ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา
คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้
เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน
ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย
ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา
ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า
เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา
ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม
หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม
เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ
กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า
รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย
นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา
เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่
ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช
หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง
ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง
พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่นสาน
ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น
จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆ โดยละทิ้งราชสมบัติ
และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้
ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง
เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า
แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ
ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า
การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว
คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปชี้แจงอธิบาย
ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช
๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ
เดือน
คัดมาจาก http://www.dhammathai.org
วันเข้าพรรษา
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน"
หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน
โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์
และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง
ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ
จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด
3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ
เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม
1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น
ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7
คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์
แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา
หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร
แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม
ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง
เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า
"วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว
พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี
แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก
สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้
โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระ ตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น
มีเพียงอัฏฐบริขารอันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ
เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้
บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าจำนำพรรษา
หรือผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษานับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา
การที่พระภิกษุสงฆ์ท่านโปรดสัตว์อยู่ประจำเป็นที่เช่นนี้
เป็นการดีสำหรับสาธุชนหลายประการ กล่าวคือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระพุทธบัญญัติก็นิยมบวชพระ
ส่วนผู้ที่อายุยังไม่ครบบวชผู้ปกครองก็นำไปฝากพระ
โดยบวชเป็นเณรบ้าง ถวายเป็นลูกศิษย์รับใช้ท่านบ้าง
ท่านก็สั่งสอนธรรม และความรู้ให้ และโดยทั่วไป
พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรหรือไปทำบุญที่วัด นับว่าเป็นประโยชน์
การปฏิบัติตน ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน
พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้
ธูปเทียน
เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ
สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ ที่สำคัญคือ มีประเพณีหล่อเทียนขนาดใหญ่เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด
3 เดือน มีการประกวดเทียนพรรษา โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้
ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ
ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึง วันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร
ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้น
อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์
เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลาน
ของตนโดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับ
อานิสงส์อย่างสูง
คัดมาจาก http://www.learntripitaka.com
วันออกพรรษา
ต ร ง กั บ วั น ขึ้ น ๑ ๕ ค่ำ เ ดื อ น ๑ ๑ วันออกพรรษา
คือวันสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการอยู่ประจำที่ในฤดูฝนซึ่งตรงกับวันขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ วันออกพรรษานี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
"วันมหาปวารณา" คำว่า"ปวารณา"แปลว่า
"อนุญาต" หรือ "ยอมให้" คือ
เป็นวันที่เปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกัน ว่ากล่าวตักเตือนกันได้
ในข้อที่ผิดพลั้งล่วงเกินระหว่างที่จำพรรษาอยู่ด้วยกัน
ในวันออกพรรษานี้กิจที่ชาวบ้านมักจะกระทำก็คือ
การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูป
เทียน ไปบูชาพระที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตรในวันนี้ก็คือ
ข้าวต้ม มัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศลกรรมการ
"ตักบาตรเทโว" คำว่า "เทโว"
ย่อมาจาก"เทโวโรหน" แปลว่าการเสด็จจากเทวโลกการตักบาตรเทโว
จึงเป็นการระลึกถึงวันที่ พระพุทธองค์เสด็จกลับจากการโปรด
พระพุทธมารดาในเทวโลก ประเพณีการทำบุญกุศล เนื่องในวันออกพรรษานี้
ทุกวัดในประเทศไทย ก็มีพิธีเหมือนกันหมด จะผิดกันก็เพียงแต่สถานที่
ที่สมมติว่าเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เท่านั้น
ศาสนพิธีหรือพิธีกรรมทางศาสนา
พิธีคือ แบบอย่าง แบบแผน หรือรูปแบบต่างๆ ที่พึงปฏิบัติในทางศาสนา
โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเรียกว่า ศาสนพิธี ความจริงเรื่อง
ศาสนพิธี เป็นเรื่องที่มีด้วยกันทุกศาสนา และเป็นเรื่องเกิดขึ้นทีหลังศาสนา
หมายความว่า มีศาสนาเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงมีพิธีต่างๆ
เกิดตามมาภายหลัง แม้ศาสนพิธีในพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน
เกิดขึ้นภายหลังทั้งสิ้นเหตุเกิดศาสนพิธีในพระพุทธศาสนานี้
ก็เนื่องจากมีหลักการของพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงวางไว้แต่ในปีที่ตรัสรู้
เพื่อสาวกจะได้ถือเป็นหลักในการออกไปประกาศพระศาสนา
อันเรียกว่า "โอวาทปาติโมกข์" ในโอวาทนั้น
มีหลักการสำคัญที่ทรงวางไว้เป็นหลักทั่วๆไป ๓
ประการคือ
๑. สอนไม่ให้ทำความชั่วทั้งปวง
๒. สอนให้อบรมกุศลให้พร้อม
๓. สอนให้ทำจิตใจของตนให้ผ่องแผ้ว
โดยหลักการทั้ง ๓ นี้ เป็นอันว่าพุทธบริษัทต้องพยายามเลิกละความประพฤติชั่วทุกอย่าง
จนเต็มความสามารถ และพยายามสร้างกุศลสำหรับตนให้พร้อมเท่าที่จะสร้างได้
กับพยายามชำระจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ด้วยการพยายามทำตามคำสอนในหลักการการนี้
เป็นการพยายามทำดี เรียกว่า "ทำบุญ"
และการทำบุญนี้แหละพระพุทธเจ้าทรงแสดงวัตถุ คือที่ตั้งอันเป็นทางไว้โดยย่อ
ๆ ๓ ประการ เรียกว่า "บุญกิริยาวัตถุ"
คือ
๑. ทาน การบริจาคสิ่งของของตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
๒. ศีล การรักษากายวาจาให้สงบเรียบร้อยไม่ล่วงพุทธบัญญัติ
๓. ภาวนา การอบรมจิตใจให้ผ่องใสในทางกุศล
บุญกิริยานี้เอง เป็นแนวให้พุทธบริษัทปฏิบัติตามหลักการดังกล่าวข้างต้น
และเป็นเค้าให้เกิดศาสนพิธีต่างๆ ขึ้นโดยนิยม
คือ ในกาลต่อ ๆ มา พุทธบริษัทนิยมทำบุญ ไม่ว่าจะปรารภเหตุใดๆ
ก็ให้เข้าหลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ นี้ โดยเริ่มต้นมีการรับศีล
ต่อไปภาวนาด้วยการสวดมนต์เองหรือฟังพระสวดแล้วส่งใจไปตาม
จบลงด้วยการบริจาคทานตามสมควร เพราะนิยมทำบุญเป็นการบำเพ็ญความดีดังกล่าวนี้
และทำในกรณีต่าง ๆ กันตามเหตุที่ปรารภ จึงเกิดพิธีกรรมขึ้นมากประการ
เมื่อพิธีกรรมใด เป็นที่นิยมและรับรองปฏิบัติสืบ
ๆ มาจนเป็นประเพณี พิธีกรรมนั้นก็กลายเป็นศาสนพิธีขึ้น
ฉะนั้น ศาสนพิธีจึงมีมากมาย เมื่อแยกเป็นหมวดก็สงเคราะห์ได้
๔ หมวด คือ
๑. หมวดกุศลพิธี ว่าด้วยพิธีบำเพ็ญกุศล
เรื่องกุศลพิธี เป็นเรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วยการอบรม
ความดีงามทางพระพุทธ ศาสนาเฉพาะตัวบุคคล คือ เรื่องสร้างความดีแก่ตนทางพระพุทธศาสนา
ตามพิธีนั่นเอง ซึ่งพิธี ทำนองนี้มีมากด้วยกัน
เมื่อจัดเข้าเป็นหมวดเดียวกัน จึงให้ชื่อหมวดว่า
“หมวดกุศลพิธี” ฉะนั้น หมวดกุศลพิธีที่จะกล่าวต่อไปนี้
จะนำกุศลพิธีเฉพาะที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติในเบื้องต้น
อย่างสามัญ มาชี้แจงเพียง ๓ เรื่อง คือ
ก. พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
ข. พิธีเวียนเทียนในวันสำคัญทางศาสนา ได้แก่ วันมาฆบูชา
, วันวิสาขบูชา , วันอาสาฬหบูชา , วันอัฐมีบูชา
ค. พิธีรักษาอุโบสถศีล
๒.หมวดบุญพิธี ว่าด้วยพิธีทำบุญ
บุญพิธี ได้แก่ พิธีทำบุญเนื่องด้วยประเพณีในครอบครัวของพุทธศาสนิกชน
เป็นประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของคนไทยทั่วไป ส่วนมากทำกันเกี่ยวกับเรื่องฉลองบ้าง
เรื่องต้องการ สิริมงคลบ้าง เรื่องตายบ้าง ในเรื่องเหล่านี้นิยมทำบุญทางพระพุทธศาสนา
เช่น ทำบุญเลี้ยงพระและ ตักบาตร เป็นต้น เพราะประเพณีนิยมดังนี้
จึงเกิดมีพิธีกรรม ที่จะต้องปฏิบัติขึ้นและถือสืบ
ๆ กันมาแต่โบราณกาล ฉะนั้น ในเรื่องพิธีทำบุญ
หรือเรียกว่า บุญพิธี จึงเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษา
อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะนำมากล่าวในหมวดนี้ โดยแยกเป็น
๒ ประเภท คือ
๑. ทำบุญงานมงคล เช่นทำบุญเลี้ยงพระ
๒. ทำบุญงานอวมงคล เช่น ทำบุญหน้าศพ ทำบุญอัฐิ
แต่ละประเภทมีความมุ่งหมายและเหตุผล ตลอดถึงระเบียบปฏิบัติพิธี
แตกต่างออกไป เป็นกรณี ๆ อีกหลายอย่าง ดังจะนำมาชี้แจงแต่เพียงที่สำคัญ
ๆ ให้เข้าใจต่อไป
๓. หมวดทานพิธี ว่าด้วยพิธีถวายทาน
พิธีถวายทานต่าง ๆ เรียกว่า ทานพิธี ในที่นี้จะกว่าเฉพาะทานพิธีสามัญ
ที่จำเป็น และนิยมบำเพ็ญกันอยู่ทั่วไป และจะกล่าวเฉพาะระเบียบปฏิบัติกับคำถวาย
ของฝ่ายทายกเท่านั้น
การถวายทาน คือ การถวายวัตถุที่ควรให้เป็นทาน
ในพระพุทธศาสนา เรียกวัตถุที่ควร ให้เป็นทานนี้ว่า
“ทานวัตถุ” ท่านจำแนกไว้ ๑๐ ประการ คือ (๑) ภัตตาหาร
(๒) น้ำรวม ทั้งเครื่องดื่มอันควรแก่สมณบริโภค
(๓) ผ้าเครื่องนุ่งห่ม (๔) ยานพาหนะ สงเคราะห์
ปัจจัยค่าโดยสารเข้าด้วย (๕) มาลัยและดอกไม้เครื่องบูชาชนิด
ต่าง ๆ (๖) ของหอม หมายถึง ธูปเทียนบูชาพระ (๗)
เครื่องลูบไล้ หมายถึง เครื่อง สุขภัณฑ์สำหรับชำระร่างกายให้สะอาด
มีสบู่ถูกตัว เป็นต้น (๘) เครื่องที่นอนอันควรแก่สมณะ
(๙) ที่อยู่อาศัย มีกุฏิเสนาสนะ และ เครื่องสำหรับเสนาสนะเช่น
เตียง ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น (๑๐) เครื่องตามประทีป
มีเทียน จุดใช้แสงตะเกียง น้ำมันตะเกียงและไฟฟ้า
เป็นต้น ทั้ง ๑๐ ประการนี้ควรแก่การถวายเป็นทาน
แก่ภิกษุสามเณร เพื่อใช้สอย หรือบูชาพระตามสมควร
แต่การถวายทานนี้มีนิยม ๒ อย่าง คือ
๑. ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้อย่างหนึ่ง เรียกว่า
ปาฏิบุคลิกทาน
๒. ถวายไม่เจาะจงรูปใด มอบเป็นของกลางให้สงฆ์จัดเฉลี่ยกันใช้สอยเอง
อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า สังฆทาน
สำหรับปาฏิบุคลิกทานไม่จำต้องมีพิธีกรรมอะไรในการถวาย
เพราะผู้ถวายเกิดศรัทธา จะถวายสิ่งไร แก่ภิกษุหรือสามเณรรูปใด
ก็จัดสิ่งนั้นมอบถวายเฉพาะรูปนั้น เป็นรายบุคคล
สำเร็จเป็นทานแล้ว และผู้รับปาฏิบุคคลทาน จะอนุโมทนาอย่างไรนั้น
ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลเช่นกัน
แต่สำหรับสังฆทาน เป็นการถวายสงฆ์เกี่ยวกับพระสงฆ์ส่วนรวมในวัด
จัดเป็น การสงฆ์ไม่ใช่การบุคคลดังกล่าว จึงเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องด้วยพิธีกรรม
โดยเฉพาะการถวาย และการอนุโมทนาของสงฆ์ย่อมมีพิธีปฏิบัติ
ฉะนั้นในหมวดนี้ จึงจะกล่าวทานพิธีเฉพาะส่วน ที่ถวายเป็นการสงฆ์อย่างเดียว
และทานที่ถวายสงฆ์นั้น แม้มีกำหนดวัตถุเป็น ๑๐
ชนิดแล้ว ก็มีนิยมถวายวัตถุใน ๑๐ ชนิดนั้นเป็นรายการ
ๆ แยกคำถวายต่างกันออกไปอีกมากมาย แต่จะเป็นถวายอะไรก็ตาม
เมื่อสงเคราะห์ก็อยู่ในปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต
๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช ทั้งนั้น
และการถวายก็มีนิยมเป็น ๒ คือ ถวายในกาลที่ควรถวายสิ่งนั้น
ๆ เรียกว่า กาลทาน ๑ ถวายไม่เนื่องด้วยกาลหรือนอกกาลอีก
๑ ซึ่งมีระเบียบปฏิบัติ ดังนี้
๔.หมวดปกิณกพิธี ว่าด้วยพิธีเบ็ดเตล็ด
พิธีกรรมที่จะกล่าวในบทนี้เป็นพิธีเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติบางประการ
ในการ ประกอบพิธีต่าง ๆ ที่กล่าวแล้วในหมวดต้น
ๆ มาชี้แจงเพื่อความรู้ และเพื่อเป็นทางปฏิบัติ
แต่จะกล่าวเฉพาะเรื่องที่มิได้ชี้แจงไว้ข้างต้นเพียง
๕ เรื่องเท่านั้น คือ
๑. วิธีแสดงความเคารพพระ
๒. วิธีประเคนของพระ
๓. วิธีทำหนังสืออาราธนา และทำใบปวารณาถวายจตุปัจจัย
๔. วิธีอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร อาราธนาธรรม
๕. วิธีกรวดน้ำ
สถานภาพของสตรี
ในพระพุทธศาสนา ไม่มีการกีดกันทางเพศ ทุกคนทุกเพศสามารถทำความดีและเข้าถึงธรรมในระดับต่างๆตามความสามารถและบุญบารมีของแต่ละคน
เพศเป็นเพียงสัญลักษณ์ทางธรรมชาติ แต่ไม่ได้เป็นเครื่องวัดความเป็นคนที่แท้จริงได้
และทั้งไม่ได้เป็นเครื่องรับรองว่าเพศหญิงหรือเพศชายใครจะสามารถบรรลุธรรมก่อนกัน
คำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับสตรีและบุรุษมีน้ำหนักเท่าเทียมกัน
แต่ด้วยว่าธรรมชาติของชายและหญิงในบางเรื่องก็มีข้อปลีกย่อยที่แตกต่างกัน
ตามสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งนั่นอาจจะถือได้ว่า
หญิงและชายต่างก็มีหน้าที่แตกต่างกันไปแต่มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน
อย่างกรณีที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงหน้าที่ของสตรีว่าควรวางตัวอย่างไรไม่ใช่ประสงค์จะดูถูกกดขี่สตรี
จริงๆแล้วอาจมองได้ว่านั่นเป็นการแนะนำสตรีให้ประกอบด้วยธรรมคือหน้าที่
ดังใน คัมภีร์อังคุตรนิกาย มีคำแนะนำสั่งสอนที่มีค่ายิ่ง
ซึ่งพระพุทธองค์ได้วางเอาไว้ให้หญิงสาว ก่อนแต่งงานได้สำเหนียกศึกษาปฏิบัติ
เนื่องจากพระองค์ได้มองเห็นความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้น
เมื่อมีสะใภ้เข้ามาอยู่ในบ้าน (ของสามี) สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงได้ทรงแนะนำหญิงสาวทั้งหลายว่า จะต้องให้ความเคารพ
ยกย่อง นับถือพ่อผัว แม่ผัว โดยปฏิบัติรับใช้ท่าน
เสมือนหนึ่งท่านเหล่านั้นเป็นบิดามารดาของตนเอง
ทั้งยังแนะนำให้หญิงสาวที่จะแต่งงาน จะต้องให้เกียรติและให้ความนับถือญาติพี่น้อง
และเพื่อนๆ ของสามี เพื่อว่าบรรยากาศภายในครอบครัวใหม่จะได้อบอุ่น
และมีความผาสุกราบรื่น หญิงสาวจะได้รับการแนะนำสั่งสอนให้ศึกษา
และให้ทำความเข้าใจนิสัยใจคอของสามี และหาทางให้รู้ว่าสามีของตัวเองมีกิจกรรม
หรือประกอบธุรกิจการงานอะไร รวมทั้งให้รู้เอกลักษณ์ประจำตัว
และนิสัยใจคอของสามี นอกจากนั้นหญิงสาวต้องรู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์
ให้ความร่วมมือ ตลอดเวลาที่ไปอยู่บ้านของสามี
หญิงสาวควรเป็นคนสุภาพ ใจดี มีความระมัดระวังในการเอาใจใส่ดูแลคนรับใช้
ที่สำคัญหญิงสาวจะต้องเป็นผู้ปกปักรักษาทรัพย์สมบัติที่สามีหามาได้
และจะต้องดูแลว่า รายจ่ายทั้งหลายภายในครอบครัวเรือนต้องเป็นไปอย่างประหยัด
ที่ว่ามาทั้งหมดเป็นคำสอนโดยเฉพาะสำหรับสตรี อันเป็นคำแนะนำที่ทรงคุณค่าตลอดกาล
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้โดยเฉพาะสำหรับสุภาพสตรี
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงเห็นความสำคัญว่า
ความผาสุก และความกลมเกลียวปรองดองกันในครอบครัวนั้น
ผู้หญิงเป็นฝ่ายให้หลักประกันได้ดี ดังนั้นคำสอนของพระองค์
เกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในชีวิตการแต่งงานจึงเป็นสัจธรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้
พระองค์ทรงวางรายละเอียดเป็นข้อๆ เกี่ยวกับคุณภาพประจำวันไว้มากมาย
ที่ผู้หญิงควรหรือไม่ควรจะนำไปประพฤติปฏิบัติ
ในหลายโอกาส สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำว่า
ภรรยา :-
1. ไม่ควรคิดในแง่ร้ายต่อสามี
2. ไม่ควรเป็นคนโหดร้าย หยาบกระด้าง หรือทำยโสโอหังต่อสามี
3. ไม่พึงเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย ควรเป็นคนมีนิสัยประหยัด
มัธยัส อดออม และดำรงชีพตามสมควรแก่อัตตภาพ
4. ควรป้องกันรักษาสมบัติสิ่งที่สามีหามาได้ด้วยความยากลำบากอย่างสุดความสามารถ
5. ควรบำเพ็ญตนเป็นคนดี มีศีลธรรม เป็นคนบริสุทธิ์ทั้งใจ
และกาย
6. ควรเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คิดคด ทรยศสามีในทางชู้สาว
7. ควรเป็นคนมีวาจาอ่อนโยน อ่อนหวาน มีความประพฤติสุภาพเรียบร้อย
8. ควรเป็นคนใจดี มีเมตตา กรุณา ขยันขันแข็ง และความเพียรพยายาม
9. ควรเป็นคนมีความคิดรอบคอบ มีความสงสาร เห็นอกเห็นใจสามี
ควรมีเจตนคติในอันที่จะเป็นแม่ที่รักและปกป้องลูกที่จะเกิดมา
10. ควรเป็นคนสุภาพอ่อนโยน และน่าเคารพนับถือ
11. ควรเป็นคนอารมณ์เย็น สงบเสงี่ยม และมีความเข้าใจผู้อื่น
ปฏิบัติรับใช้ไม่เพียงแต่ในฐานะของภรรยา แต่เป็นเพื่อนและเป็นคู่ชีวิตแนะนำชี้ทางแก่สามีเมื่อถึงคราวจำเป็น
และคับขัน
ในสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังดำรงพระชนม์อยู่
ก็ยังมีนักสอนศาสนาอื่นๆ ได้พูดถึงหน้าที่ และความผูกพันระหว่างภรรยากับสามีด้วยเช่นเดียวกัน
ท่านเหล่านั้นเน้นว่า หน้าที่ของภริยาโดยเฉพาะ
ก็คือ ให้ทายาทแก่สามี และให้บริการสามีอย่างซื่อสัตย์
พร้อมทั้งให้ความสุขฉันสามีภรรยา หลักคำสอนประเภทเดียวกันนี้
ก็มีสอนในลัทธิขงจื้อด้วยเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่าหน้าที่ของภริยาต่อสามีจะมีสอนไว้ในหลักวินัยของขงจื้อก็ตาม
แต่หลักนั้นก็ไม่ได้เน้นหน้าที่และข้อผูกพันของสามีต่อภริยาแต่อย่างใด
คำสอนของพระพุทธเจ้าก็มิได้เป็นการลำเอียงต่อสามี
ในสิงคาโลวาทสูตร สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนถึงหน้าที่ของสามีต่อภริยา
และหน้าที่ของภริยาจะต้องปฏิบัติต่อสามี ในฝ่ายสามีก็ควรจะเป็นคนซื่อสัตย์จงรักภักดี
และไม่ดูถูกเหยียดหยามภรรยา เป็นหน้าที่ของสามีที่จะต้องมอบความเป็นใหญ่ให้ภรรยาของเขา
พร้อมทั้งจัดหาเครื่องประดับให้แก่ภรรยาเป็นครั้งคราวตามโอกาส
ดังนั้น เราจึงสามารถมองเห็นท่าทีที่ปราศจากการลำเอียงที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงไว้ทั้งต่อบุรุษ และสตรี
คัดมาจาก http://mahamakuta.inet.co.th
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม http://duangden.com/Buddhism/Faminism.html
ทัศนะเรื่องชีวิต
สิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” มีองค์ประกอบใหญ่ ๒ ส่วน
คือ ส่วนที่เป็นรูปธรรม กับส่วนที่เป็นนามธรรม
อย่างที่เราเข้าใจกันทั่วไปว่า เป็นเรื่องของกายกับเรื่องของจิต
องค์ประกอบใหญ่ทั้งสองส่วนนี้ รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า
ขันธ์ ๕ (The Five Aggregates) ซึ่งประกอบด้วย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ 2 ความหมายของส่วนทั้ง
๕ พระพรหมคุณาภรณ์ได้ ให้ไว้ในหนังสือ พุทธธรรม
มีดังนี้
รูป (Corporeality) คือ ส่วนประกอบที่เป็นด้านกายภาพหรือด้านรูปธรรมทั้งหมด
โดยสรุปก็คือ ร่างกาย (เนื้อหนังมังสา) และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คือ ส่วนที่เป็นสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ
พร้อมทั้งคุณสมบัติและพฤติกรรมต่างๆ ของสสารและพลังงานเหล่านั้น
เวทนา (Feeling) คือ ส่วนที่เป็นความรู้สึก ซึ่งเกิดจากการได้สัมผัสผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง
๕ และทางใจ ความรู้สึกนั้นอาจมีหลากหลาย เช่น
ความรู้สึกร้อน หนาว อบอุ่น เจ็บปวด ผ่อนคลาย
ฯลฯ กล่าวรวมๆ ได้ว่า เป็นความรู้สึกสุข ทุกข์
หรือเฉยๆ คือ ไม่สุข ไม่ทุกข์
สัญญา (Perception) คือ การกำหนดรู้ การจำได้
และการแยกแยะความแตกต่างของสิ่งที่รับเข้ามาทางประสาทสัมผัสต่างๆ
ได้ เป็นอาการที่ใจรับรู้และสามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นๆ
เป็นอะไร อันเป็นเหตุให้จำสิ่งนั้นๆ ได้ เช่น
จำรูปร่าง สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอาการต่างๆ
ได้ สังขาร (Mental Formation) คำว่า สังขาร ในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องของร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง
คือ ไม่ใช่ส่วนที่เป็นรูปธรรมหรือกายภาพ อย่างที่เข้าใจกันทั่วไป
แต่เป็นเรื่องของจิตหรือเกี่ยวกับจิตมากกว่า ความหมายในที่นี้จึงหมายถึง
“สภาพที่ปรุงแต่งจิต” ให้มีลักษณะต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นฝ่ายดี
ฝ่ายชั่ว หรือเป็นกลางๆ (ไม่ดี ไม่ชั่ว) ก็ได้
ทั้งนี้ โดยมี เจตนา เป็นตัวนำ กล่าวอย่างง่ายๆ
สังขารนี้คือ ความนึกคิด ซึ่งอาจจะเป็นด้านดี
ไม่ดี หรือเป็นกลางๆ ก็ได้
วิญญาณ (Consciousness) ในที่นี้ก็ไม่ใช่อย่างเดียวกับสิ่งที่คนเชื่อกันทั่วไปว่า
เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวคนเมื่อยังมีชีวิต และเมื่อตายแล้วก็ล่องลอยไปในภพภูมิต่างๆ
แต่วิญญาณในที่นี้ หมายถึง การรับรู้อารมณ์ (object)
โดยผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ และทางใจ คือ รู้โดยผ่านทางการเห็น
การได้ยิน การได้กลิ่น การได้ลิ้มรส การรับสัมผัสทางกาย
และการรู้อารมณ์ทางใจ
จะสังเกตว่า ในส่วนประกอบทั้ง ๕ ที่กล่าวข้างต้นนั้น
ส่วนที่เป็นรูปธรรมหรือกายภาพ มีอยู่เฉพาะในขันธ์
๕ ข้อที่ ๑ (รูป) เพียงข้อเดียวเท่านั้น ที่เหลืออีก
๔ ข้อ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นั้น
เป็นส่วนที่เราอาจนิยามว่าเป็นนามธรรม ขันธ์ หรือส่วนประกอบแต่ละส่วน
ก็มีส่วนประกอบย่อยของมันอีก จำนวนมากบ้าง น้อยบ้าง
ตามลักษณะของ ขันธ์ ข้อนั้นๆ ตัวอย่างเช่น รูป
หรือส่วนประกอบที่จัดว่าเป็นส่วนกายภาพนั้น มีส่วนประกอบย่อยลงไปอีกถึง
๒๘ อย่าง ส่วนประกอบที่เรียกว่าขันธ์ทั้ง ๕ ล้วนเป็นไปในรูปของกระแสเกิดดับๆ
ตลอดเวลา มีลักษณะแห่งความเปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์
ไร้แก่นสารหรือตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น มีการเกิดขึ้น
ดำรงอยู่ และดับสลายไปในที่สุด และเป็นไปได้เพราะอาศัยการอิงอาศัยซึ่งกันและกัน
ชีวิตนี้มีการปฏิสัมพันธ์ในการรับรู้โลกภายนอกผ่าน
ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ และชีวิตนี้แสดงออกทางกาย
วาจา และใจ ทั้งหมดนี้คือการแสดงออกของขันธ์ ๕
ที่ทำงานประสานสดรับกันนั่นเอง ดังนั้นชีวิตจึงไม่มีตัวตนที่ยืนโรงอยู่ภายในที่เป็นอมตะเป็นใหญ่สูงสุดแต่เพียงผู้เดียวแต่เป็นสิ่งที่อิงอาศัยกันและกันอยู่ในกระแสเกิดดับๆ
ตลอดเวลา
ทัศนะเรื่องความตาย
พุทธศาสนาพูดถึงความตาย ๒ ประเภท คือ ความตายของชีวิต
หรือตายทางร่างกาย กับความตายโดยที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ
อาจเรียกว่าเป็นความตายทางจิตใจ พุทธศาสนาเชื่อว่า
ชีวิตมีอยู่ เป็นอยู่ เพราะมีปัจจัยต่างๆ มาประกอบกันอย่างเหมาะสม
และปัจจัยสำคัญก็คือ ขันธ์ ๕ ดังที่ได้แสดงมาแล้ว
ตามความเชื่อนี้ ความตายก็เป็นอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากคือความสิ้นไปแห่งปัจจัยเหล่านั้น
หรือมิฉะนั้นก็เป็นการประกอบส่วนที่ผิดเพี้ยนไป
อันเกิดจากความไม่เที่ยงและความไม่มีตัวตน ของปัจจัยเหล่านั้น
นี่เป็นหลักกว้างๆ ที่อิงอยู่กับหลักธรรมเรื่อง
ไตรลักษณ์ และหลักธรรมเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท หรือ
อิทัปปัจจยตา ที่ว่าด้วยความเป็นเหตุเป็นผลแบบ
อิงอาศัยกันของสิ่งทั้งหลาย ทำนองว่า เมื่อสิ่งนี้มี
สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงดับไป
ความสิ้นไปแห่งเหตุปัจจัยนั้น อาจมองว่าเป็นเพียงมิติหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
แม้ในขณะที่ชีวิตยังมีอยู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้
คือกระบวนการที่ทั้งความเกิดและความดับ เกิดต่อเนื่องสลับกันไป
มองในแง่นี้ ในชีวิตก็มีทั้งการเกิดการดับอยู่ตลอดเวลา
การเกิดและการดับ ในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ชีวิตหมดไป
คือ ไม่ตาย ในความหมายที่เข้าใจกันทั่วไป แต่ก็แน่นอนว่าย่อมทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งในด้านรูปธรรมและนามธรรม
ดังจะเห็นได้จากการที่หน้าตาและร่างกายของเราเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ถ้าถือว่าเป็นการตาย นี่ก็คือการตายจากสภาวะหนึ่งแล้วไปเกิดในอีกสภาวะหนึ่ง
เช่น จากเด็กเล็กเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ และเป็นคนชรา
เป็นต้น ในความตายแบบนี้เหตุปัจจัยแห่งชีวิตไม่ได้หมด
และชีวิตก็ไม่ได้สิ้นไปจริงๆ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงสภาวะไปเท่านั้น
แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดที่ทำให้สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยของชีวิตหมดไป
ก็ถือว่าเป็นความตาย ตามหลักความเชื่อในพุทธศาสนา
ความเปลี่ยนแปลงของเหตุปัจจัยที่ทำให้ชีวิตหมดไป
(คือตาย) อาจเกิดได้ในกรณีต่อไปนี้ (พระมหาบุญมี
มาลาวชิโร, ๒๕๔๗; พระดุษฎี เมธังกุโร, ๒๕๔๔) ๑.
สิ้นอายุขัย (อายุกขยมรณะ) คือ ตายเพราะสิ้นอายุ
ซึ่งเป็นไปตามกฎธรรมชาติของสรรพสิ่งที่เกิดมา
กล่าวคือ ทุกสิ่งตกอยู่ในกฎแห่งการเกิดขึ้น ดำรงอยู่
และดับไป ชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมานั้น แม้จะไม่มีโรคภัยหรือเหตุอื่นให้เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร
ก็ดำรงอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะเปรียบก็คงจะเหมือนชิ้นส่วนอีเลคโทรนิคชิ้นหนึ่ง
ซึ่งมีอายุการใช้งานจำกัดอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อพ้นจากนั้นไป
ชิ้นส่วนนั้นก็หมดสภาพ คือไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้ต่อไป
ชีวิตของคนเราก็คล้ายกัน นั่นคือมีอายุขัยที่จำกัด
นอกจากนี้ อายุขัยของคนเรายังไม่เท่ากัน และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
5 ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่สนับสนุนและเอื้ออำนวยหลายด้าน
เช่นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการแพทย์ สภาพแวดล้อมในการทำงาน
และรูปแบบตลอดจนพฤติกรรมการดำรงชีวิตเป็นต้น
การตายเพราะสิ้นอายุขัยนั้น อาจเปรียบได้กับตะเกียงที่ไส้หมด
แม้น้ำมันจะยังเหลืออยู่ แต่ก็ไม่สามารถจะให้เปลวไฟที่มีแสงสว่างต่อไปได้
๒. สิ้นกรรม (กัมมักขยมรณะ) คือ ตายเพราะสิ้นกรรม
กรรมนั้นคือการกระทำซึ่งมีผลสืบเนื่องตามมา (consequences)
อาจเป็นกรรมที่ทำในอดีต ซึ่งอาจไกลออกไปจนถึงในอดีตชาติ
หรืออาจเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบัน เช่น การดูแลอนามัยเป็นต้น
และอาจเป็น กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าการกระทำที่ได้ทำลงไปนั้นเป็นฝ่ายดีหรือไม่ดี
กรรมที่ทำไว้นั้นมีหน้าที่ช่วยสนับสนุนรูปและนาม
(ชีวิต) ในภพที่เราเกิดมา เมื่อผลกรรมสิ้นไป ชีวิตก็สิ้นไป
เปรียบเหมือนตะเกียงที่น้ำมันหมด แม้ไส้ตะเกียงจะยังเหลืออยู่
เปลวไฟและแสงสว่างก็หมดไป
๓. สิ้นทั้งอายุและกรรม (อุภยักขยมรณะ) คือ ทั้งอายุขัยและกรรม
สิ้นไปในเวลาเดียวกัน การตายในกรณีเช่นนี้ จะเห็นได้เช่น
การตายของผู้สูงอายุที่แก่หง่อม รูปและนาม (ร่างกายและจิตใจ)
หมดสภาพ อีกทั้งกรรม คือ การกระทำที่จะเป็นแรงสนับสนุนให้รูปและนามทำหน้าที่ของมัน
ก็หมดไป เปรียบเหมือนตะเกียงที่ทั้งน้ำมันและไส้หมดไปด้วยกัน
๔. มีเหตุหรือกรรมอย่างอื่นมาตัดรอน (อุปัจเฉทมรณะ)
ทำให้ชีวิตสิ้นไปกะทันหัน ทั้งที่น่าจะอยู่ต่อไปได้
ในกรณีนี้ ทั้งอายุและกรรมยังไม่หมด แต่เกิดเหตุทำให้เสียชีวิตกะทันหัน
เช่นการตายด้วยอุบัติเหตุ หรือโรคระบาดเฉียบพลันร้ายแรง
ท่านเปรียบการตายในกรณีเช่นนี้เหมือนกับตะเกียงที่ทั้งน้ำมันและไส้ยังคงมีอยู่
แต่ไฟดับไปเพราะเหตุอื่น เช่น มีลมพัดมาแรง (เหตุภายนอก)
จนทำให้เปลวไฟดับไป เป็นต้น
ไม่ว่าความตายจะเกิดขึ้นในกรณีใด สิ่งที่เหมือนกันก็คือ
ในทุกกรณีล้วนมีเหตุปัจจัยที่สามารถอธิบายได้
และความตายในทุกกรณีเป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลง
คัดมาจากบทความ “ชีวิตและความตายในทัศนะของพุทธศาสนา”
โดยชาย โพธิสิตา จาก www.ipsr.mahidol.ac.th
ทัศนะเรื่องความตายในคัมภีร์ต่างๆ
๑.ในคัมภีร์สังยุตตนิกาย นิทานวรรค และคัมภีร์วิภังค์
ได้ให้ความหมายของความตายไว้ว่า “ความตาย หมายถึง
ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทำลายไป ความหายไป
ความตายกล่าวคือมฤตยู การทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์
ความทอดทิ้งร่างกาย ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
จากหมู่สัตว์นั้นๆ
๒. ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้ให้ความหมายของความตายไว้
๒ อย่าง คือ ๑. ความตาย หมายถึงการขาดไปแห่งชีวิตที่นับเนื่องในภพหนึ่ง
๒. ความตาย หมายถึงความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลายในภพทั้งปวง
หรือความก้าวไป(เคลื่อนไป) สู่ร่างอื่นแห่งสัตว์
๓. ในคัมภีร์อรรถกถาต่างๆ เช่น อรรถกถาแห่งทีฆนิกาย
มหาวรรค และอรรถกถาแห่ง ขุททกนิกาย มหานิทเทส
ได้ให้ความหายของคำที่บ่งถึงความตายจากความหมายของคำในข้อ
๑ อันเป็นการอธิบายเสริม เพื่อให้มีความชัดเจนดังนี้
คือ
(๑) ความจุติของเหล่าสัตว์นั้นๆ จากหมู่สัตว์นั้นๆ
หมายถึงสภาพที่เป็นเอง ด้วยอำนาจการเคลื่อนจากภพเดิม
(๒) ความเคลื่อนไป หมายถึงภาวะที่เป็นอาการ เป็นคำแสดงลักษณะ
การเคลื่อนจากภาวะหนึ่งไปสู่ภาวะอีกอย่างหนึ่ง
๔. ในอรรถกถาแห่งคัมภีร์สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
ได้อธิบายความหมายของคำว่า ความแตกแห่งขันธ์เป็นต้นไว้ดังนี้
“เมื่อกล่าวโดยปรมัตถ์ ขันธ์เท่านั้นย่อมแตก ไม่มีสัตว์ไรๆ
ตาย แต่เมื่อขันธ์ทั้งหลายแตก สัตว์ก็ย่อมตาย
จึงมีโวหารว่า เมื่อขันธ์ทั้งหลายแตกแล้ว สัตว์ก็ชื่อว่าตาย
คัดมาจาก http://toonvj.tht.in/aticle1.html
ความดีความชั่ว
ความดี คือ การกระทำที่ไม่มีอกุศลมูล คือ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง เป็นสาเหตุให้ทำกรรมนั้น
ความชั่ว คือการกระทำที่ถูกอกุศลมูลครอบงำหรือเป็นสาเหตุ
การตัดสินความดี การกระทำที่เรียกว่าดี คือการกระทำที่ปราศจากเจตนาร้าย
ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น บัณฑิตยกย่อง มี ประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น
ความชั่วมีเกณฑ์ตัดสินที่ตรงกันข้ามกับความดี
ความดีและความชั่วเกิดได้ ๓ ทาง ดังนี้
ความดีเกิดทางกายเรียกว่า กายสุจริต
ความดีเกิดทางวาจา เรียกว่า วจีสุจริต
ความดีเกิดทางใจ เรียกว่า มโนสุจริต
ความชั่วทางกาย เรียกว่ากายทุจริต
ความชั่วทางวาจา เรียกว่า วจีทุจริต
ความชั่วทางใจเรียกว่า มโนทุจริต
การสร้างมนุษยสัมพันธ์
การสร้างมนุษยสัมพันธ์ นั้น ยึดหลักธรรมเรื่อง
สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น
ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
อันเป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ระหว่างเพื่อมนุษย์ด้วยกัน
มีอยู่ 4 ประการ ดังนี้
1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ หรือการเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น
ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ
ไม่เห็นแก่ตัว
2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน
พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ
วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์
ดังต่อไปนี้
เว้นจากการพูดเท็จ
เว้นจากการพูดส่อเสียด
เว้นจากการพูดคำหยาบ
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
4. สมานัตตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย
อ่อนน้อม มีมิตรไมตรี คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล
ทิศ ๖ หน้าที่เพื่ออยู่ร่วมกันด้วยดี
หลักธรรมที่ควรพิจารณาอีกหัวข้อคือหลักธรรมเรื่อง
ทิศ ๖ หลักธรรมนี้จัดได้ว่าเป็นหลักมนุษยสัมพันธ์ที่ละเอียดบอกถึงการปฏิบัติที่ควรทำต่อบุคคลนั้นๆ
ในการอยู่ในสังคมนั้นยังมีบุคคลประเภทต่างๆ อยู่รอบตัวเรา
ไม่ว่าจะเป็นข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา
เปรียบเหมือนทิศต่างๆ ที่จะต้องรู้และประพฤติตัวให้ถูกต้องและเหมาะสมกับบุคคลประเภทนั้นๆ
ซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์เพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยดี
มีลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและกัน ต่างก็มีกตัญญูกตเวทิตธรรมต่อกนและกัน
อันจะช่วยให้สังคมเกิดการประสานร่วมมือสามัคคีกัน
เป็นปึกแผ่นแน่นหนามีความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาและสันติสุข
นั่นคือ ทุกคนต้องรู้จักทิศต่างๆ ทั้ง ๖ รวมทั้งหน้าที่ของตนที่จะพึงปฏิบัติต่อทิศนั้นๆ
แล้วปฏิบัติด้วยความจริงใจและจริงจัง กล่าวคือ
ทิศเบื้องหน้า : ได้แก่ บิดามารดา
บุตรพึงปฏิบัติต่อท่าน ดังนี้
๑.ท่านได้เลี้ยงเรามาแล้วเลี้ยงท่านตอบ
๒.ช่วยกิจของท่าน
๓.ดำรงวงศ์ตระกูล
๔.ประพฤติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก
๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน
บิดามารดา ย่อมอนุเคราะห์ตอบบุตร ดังนี้
๑. ห้ามมิให้ทำความชั่ว
๒.ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓.ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔.หาภรรยาสามีที่สมควรให้
๕.มอบทรัพย์ให้ในสมัย
ทิศเบื้องขวา : ครู อาจารย์
ศิษย์พึงปฏิบัติต่อท่าน ดังนี้
๑.ด้วยลุกขึ้นยืนรับ
๒.ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้
๓.ด้วยเชื่อฟัง
๔.ด้วยอุปัฏฐาก
๕.ด้วยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ
ครู อาจารย์ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ตอบ ดังนี้
๑. แนะนำดี
๒.ให้เรียนดี
๓.บอกศิลปให้สิ้นเชิง
๔.ยกย่องให้ปรากฏในหมู่เพื่อนฝูง
๕.ทำความป้องกันทิศทั้งหลายจะไปทิศทางไหนก็ไม่อดอยาก
ทิศเบื้องหลัง : บุตรภรรยา
สามีพึงปฏิบัติต่อภรรยาดังนี้
๑.ด้วยการยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา
๒.ด้วยไม่ดูหมิ่น
๓.ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ
๔.ด้วยมอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้
๕.ด้วยให้เครื่องแต่งตัว
ภรรยาย่อมอนุเคราะห์ตอบสามี ดังนี้
๑.จัดการงานดี
๒.สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี
๓.ไม่ประพฤตินอกใจสามี
๔.รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้
๕.ขยันไม่เกียจคร้านกิจการทั้งปวง
ทิศเบื้องซ้าย : มิตรสหาย
มิตรพึงปฏิบัติต่อมิตร ดังนี้
๑.ด้วยให้ปันสิ่งของ
๒.ด้วยเจรจาถ้อยคำไพเราะ
๓.ด้วยประพฤติประโยชน์
๔.ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ (เสมอต้นเสมอปลาย)
๕.ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริง
มิตรย่อมอนุเคราะห์มิตรตอบ ดังนี้
๑.รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว
๒.รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว
๓.เมื่อมีภัยเอาเป็นที่พึ่งพำนักได้
๔.ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ (ยามฉิบหาย)
๕.นับถือตลอดวงศ์ของมิตร
ทิศเบื้องต่ำ : บ่าว/ลูกจ้าง
นายพึงปฏิบัติต่อบ่าว/ลูกจ้างดังนี้
๑.ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง
๒.ด้วยให้อาหารและรางวัล
๓.ด้วยรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้
๔.ด้วยแจกของมีรสแปลกๆดีๆให้กิน
๕.ด้วยปล่อยให้สมัย(ให้สนุกรื่นเริงเป็นครั้งเป็นคราวตามสมควรแก่โอกาส
บ่าว/ลูกจ้างย่อมอนุเคราะห์ตอบนาย ดังนี้
๑.ลุกขึ้นทำงานก่อนนาย
๒.เลิกการงานหลังนาย
๓.ถือเอาแต่ของที่นายให้
๔.ทำการงานให้ดีขึ้น
๕.นำคุณของนายไปสรรเสริญในที่ต่างๆ
ทิศเบื้องบน: สมณพราหมณ์
เราพึงปฏิบัติต่อท่าน ดังนี้
๑.ด้วยกายกรรม คือ ทำอะไรๆประกอบด้วยเมตตา
๒.ด้วยวจีกรรม คือ ทำอะไรๆประกอบด้วยเมตตา
๓.ด้วยมโนกรรม คือทำอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา
๔.ด้วยเป็ฯผู้ไม่ปิดบังเขา คือ มิได้ห้ามไม่ให้เข้าบ้านเรือน
๕.ด้วยให้อามิสทาน (สิ่งของ)
สมณพราหมณ์ ย่อมอนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
๑.ห้ามมิให้กระทำชั่ว
๒.ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓.อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม
๔.ให้ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๕.ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง
๖.บอกทางสวรรค์ให้
ลิงค์เว็บไซต์เกี่ยวข้องที่สำคัญ
http://www.larnbuddhism.com/
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka http://www.budsir.org
http://www.dhammajak.net http://www.kaewkaydham.org
http://www.dhammathai.org/
http://www.buddhadasa.in.th http://www.dharma-gateway.com/
http://www.buddhadasa.com/
http://www.nkgen.com http://www.geocities.com/praputonline1999/
http://www.easyinsurance4u.com
http://84000.org http://www.dhamma.th.gs http://mahamakuta.inet.co.th
แหล่งข้อมูลหนังสือเพิ่มเติม
พุทธทาสภิกขุ. 2517. ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร. กรุงเทพมหานคร
: ธรรมบูชา.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุต?โต). 2538. กรรมและนรกสวรรค์สำหรับคนรุ่นใหม่.
พิมพ์ครั้งที่ 4.
กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
_________. (ประยุทธ์ ปยุต?โต). 2539. พจนานุกรมพุทธศาสตร์
ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์
ครั้งที่ 9. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต). 2531. กรรมตามนัยแห่งพุทธธรรม.
กรุงเทพมหานคร :
อมรินทร์พริ้นติ้ง กรุ๊ฟ.
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต). 2539. กรรมและการเกิดใหม่.
พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม.
พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุต?โต). 2524. นรก –
สวรรค์ในพระไตรปิฎก. กรุงเทพมหานคร :
ปรเมษฐ์การพิมพ์.
_________. 2529. พุทธธรรม. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
วิศิน อินทสระ. 2536. หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด.
พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพมหานคร มหามกุฎราชวิทยาลัย.
วัชระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,.2550.
สุจิตรา อ่อนค้อม. 2542. ศาสนาเปรียบเทียบ. พิมพ์ครั้งที่
6. กรุงเทพมหานคร :
สหธรรมิก.
แสง จันทร์งาม. 2535. พุทธศาสนวิทยา. พิมพ์ครั้งที่
3. กรุงเทพมหานคร : บรรณาคาร.
ดาวน์โหลดเอกสาร |