ศาสนาเต๋า


          ชื่อศาสนา

          ศาสนาเต๋า (Taoism)

          สัญลักษณ์ศาสนา

          สัญลักษณ์ของศาสนาเต๋า มี 2 อย่าง คือ รูปวงกลม ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนด้วยเส้นเว้า ซีกหนึ่งเป็นสีขาว มีวงกลมเล็กสีดำอยู่ภายใน อีกซีกหนึ่งเป็นสีดำ มีวงกลมเล็กสีขาวอยู่ภายใน สัญลักษณ์นี้เป็นการแสดงว่า หยินกับหยางหรือสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งตรงกันข้ามนั้น แท้จริงแล้วจะอยู่ด้วยกันเสมอ ถ้ามีหยินก็จะต้องพบหยางในทุกสิ่ง คำว่า หยิน-หยาง หมายถึงสิ่งที่เป็นของคู่กันในธรรมชาติ คือ หยินได้แก่ เพศหญิง ความมืด ความหนาวเย็น ความอ่อนแอ ส่วนหยางได้แก่ เพศชาย แสงสว่าง ความร้อน ความเข้มแข็ง เป็นต้น

          สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งเป็นภาพเล่าจื๊อขี่กระบือ อันหมายถึงการเดินทางของเล่าจื๊อ ไปพรมแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองโฮนาน เมื่อลาออกจากราชการแล้ว

ประเภทของศาสนา

          แนวทางครองชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ

ศาสดา

          เล่าจื๊อ

สาวกคนสำคัญ

          จวงจื๊อ



          กำเนิดศาสนา

          คิดตามปีเกิดของเล่าจื๊อ เกิดก่อน ค.ศ. ประมาณ 605 ปี

สถานที่กำเนิดศาสนา

          ประเทศจีน

การกำเนิดศาสนา

          ศาสนาเต๋าเกิดและพัฒนาในสมัยบ้านเมืองระส่ำระสาย ประเทศจีนแตกออกเป็นแคว้นใหญ่ๆ หลายแคว้น มีสงครามที่ยืดเยื้อภายในประเทศ สังคมมีแต่ความสับสนวุ่นวาย เหตุการณ์เลวร้ายเหล่านี้ผลักดันให้นักปราชญ์จีนพยายามหาแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนความคิดของนักปกครอง เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบ อาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเต๋าเริ่มต้นด้วยการเป็นปรัชญาการปกครอง

จำนวนผู้นับถือศาสนา

          ประมาณ 394,000,000 คน (ปี ค.ศ.2005)

ประเทศที่มีศาสนิกชนศาสนาเต๋า

          จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียตนาม เกาหลีและประเทศอื่นๆที่มีชาวจีนพำนักอยู่



          ประวัติศาสดา

          ศาสดาของศาสนาเต๋าชื่อเล่าจื๊อ (Lao-Tzu, Lao = แก่, Tzu = อาจารย์) แปลว่า นักปราชญ์ผู้เฒ่า เป็นชื่อสมญา ตำนานเล่าว่าเมื่อเกิดมามีผมขาวโพลนชื่อจริงคือ ลี้ตัน เกิดในตระกูลชาวนายากจนทางภาคกลางของจีนเมื่อปี 605 ก่อนค.ศ. เล่าจื๊อเป็นผู้ฉลาดตั้งแต่เด็ก ชอบสังเกตธรรมชาติ นิยมการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ รักสันโดษ ได้รับตำแหน่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรมอาลักษณ์ เป็นนักปราชญ์และนักประวัติศาสตร์ประจำราชสำนัก

          เล่าจื๊อท้อแท้ใจกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงกันทั่วไป จึงลาออกจากราชการเพื่อไปหาความสงบอย่างสันโดษ มุ่งไปยังภูเขาทางทิศตะวันตก ตำนานเล่าว่าเมื่อถึงประตูเมือง นายประตูผู้รักษาด่านพรมแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือแห่งเมืองโฮนานจำท่านได้ ขอให้ท่านหยุดพักเพื่อเขียนคำสอนทางปรัชญาไว้ให้คนรุ่นหลัง เล่าจื๊อจึงเขียนคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง หรือ เต๋าเต๋อจิง เป็นอักษรจีนประมาณ 5,000 คำ จากนั้นก็เดินทางต่อไป ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครทราบเรื่องราวของท่านอีกเลย

          ปัจจุบันนี้คำสอนของเล่าจื๊อยังคงมีอิทธิพลมหาศาล ไม่ว่าจะรู้จักกันในชื่อศาสนาเต๋า หรือปรัชญาเต๋า หรือลัทธิเต๋า ความรู้ที่นักปราชญ์ฝ่ายเต๋าได้ช่วยกันสะสมและถ่ายทอดสืบต่อกันมาหลายชั่วคน ก็ได้กลายมาเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาอันลุ่มลึกและหลากหลาย ที่โลกปัจจุบันกำลังพยายามศึกษาด้วยความทึ่งและนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง กล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีวิทยาการสาขาใดเลยในอารยธรรมอันยาวนานของประเทศจีน ที่ไม่ได้รับอิทธิพลของมรดกทางปัญญาฝ่ายเต๋า รัฐศาสตร์ ศาสนา วิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ จิตวิทยา จิตรกรรม ดนตรี วรรณคดี การละคร นาฏศิลป์ มัณฑศิลป์และยุทธศาสตร์ ล้วนมีความรู้แบบเต๋าเป็นรากฐานหรือส่วนประกอบสำคัญทั้งสิ้น

คำสอน

          คำสอนของเล่าจื๊อเป็นแนวทางครองชีวิตของผู้ใฝ่รู้เพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง โดยเน้นการดำเนินชีวิตอย่างง่ายๆ กลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ เพื่อจะได้มีความสงบในจิต นอกจากนี้เล่าจื๊อยังเน้นการรู้จักบังคับตนเองอีกด้วย คำสอนของเล่าจื๊อจัดเป็นปรัชญามากกว่าศาสนา เน้นจริยธรรมมากกว่าพิธีกรรม

          ก่อนที่ปรัชญาเต๋าจะกำเนิดขึ้น คนจีนนับถือธรรมชาติ พวกเขาสังเกตเห็นลักษณะ 3 ประการของธรรมชาติ ได้แก่

          1. การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างมีระบบ เช่น กลางวันกับกลางคืน และฤดูกาลต่างๆ

          2. การเกิดดับของสรรพสิ่ง

          3. ลักษณะที่ปรากฏเป็นสิ่งตรงกันข้ามนั้น ความจริงเป็นเอกภาพ เช่น ความร้อนกับความหนาว หากไม่มีความร้อนเราจะไม่รู้จักความหนาวเลย

          ลักษณะของธรรมชาติดังกล่าวทำให้ คนจีนค้นพบกฎธรรมชาติ ที่แสดงออกมาในรูปของพลังหยินกับหยาง นั่นคือ ปราชญ์จีนยุคก่อนเล่าจื๊อสอนให้คนเข้าใจธรรมชาติโดยใช้ปัญญา ไม่ใช่เชื่องมงาย คำสอนของเล่าจื๊อก็ทำนองเดียวกัน

          หยินกับหยางเป็นลักษณะ 2 อย่างที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ หยินเป็นลักษณะของเพศหญิง เช่น แสงจันทร์ ความอ่อน ความมืด ความหนาว ความลึกลับ ความเป็นหญิง ความเป็นแม่ อารมณ์ทั้งหลาย และสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น น้ำและลม หยางเป็นลักษณะของเพศชาย เช่น แสงอาทิตย์ ความแข็ง ความสว่าง ความร้อน ความกระจ่าง ความเป็นชาย พลังสร้างสรรค์ เหตุผล และสิ่งต่างๆที่คงสภาพอยู่ได้นาน เช่น ภูเขาและไฟ

          คตินิยมพื้นฐานของชาวจีนถือว่า ในจักรวาลนี้มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ 4 สิ่ง คือ

          1. วิถี(ของโลก)และทางชีวิต(ของแต่ละบุคคล) หรือเต๋านั่นเอง

          2. ฟ้าหรือสวรรค์

          3. แผ่นดิน

          4. กษัตริย์

          เล่าจื๊อเติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมที่มีพื้นฐานความคิดความเชื่อดังกล่าวข้างต้น ท่านได้ใช้พื้นฐานเหล่านี้พัฒนาความคิดที่ต่อมาเรียกกันว่าศาสนาเต๋า เพื่อบอกวิธีดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างฉลาด

          ศาสนาเต๋าเริ่มด้วยการเน้นการใช้ปัญญา ในตอนหลังศาสนาเต๋าถูกดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเชื่อเดิม ที่บูชาเทพเจ้าประจำธรรมชาติ ผสมกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ กลายเป็นลัทธิที่เต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ วิทยาคม ของวิเศษ เน้นฤทธิ์เดช และทอดทิ้งหลักปฏิบัติทางใจ เมี่อมีผู้นำศาสนาพุทธฝ่ายมหายานเข้าสู่ประเทศจีน ศาสนาเต๋าก็รับอิทธิพลของศาสนาพุทธ นักบวชเต๋าบางส่วนละทิ้งป่าเข้ามาอยู่ในวัดในเมือง

I. คำสอนเกี่ยวกับลักษณะของ “เต๋า”

          "........เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ

          ชื่อที่ตั้งให้กันได้ ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง

          เต๋านั้นมิอาจอธิบาย และมิอาจตั้งชื่อ

          เมื่อไร้ชื่อทำฉันใด จักให้ผู้อื่นรู้

          ข้าพเจ้าขอเรียกสิ่งนั้นว่า "เต๋า" ไปพลาง ๆ

          .....................................

          บ่อเกิดนั้นสุดแสนลึกล้ำ

          ความลึกล้ำสุดแสนนั้น

          คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต"

          เต๋าเต๋อจิง บทที่ 1

“เต๋า” เป็นอมตะมีอยู่เป็นอยู่ชั่วนิรันดร ไม่มีเบื้องต้นหรือที่สิ้นสุด มีอำนาจสูงสุด สร้างและทำลายโลกได้ เป็นที่เกิดดับของทุกสิ่ง อธิบายไม่ได้ด้วยคำพูดหรือเหตุผล ไม่มีรูปร่างแต่แฝงตนอยู่ในทุกสิ่ง ไม่สามารถรู้จักได้ด้วยประสาทสัมผัส เต๋าไม่พยายามทำสิ่งใดแต่ก็มีอิทธิพลต่อทุกสิ่งและแทรกซึมอยู่ทุกแห่ง เต๋าเป็นบ่อเกิดแห่งพลัง เต๋าเป็นปรมัตถสัจจะซึ่งอธิบายไม่ได้ เต๋าเป็นกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงอันต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุดในจักรวาล

          มนุษย์จะเข้าถึงเต๋าได้โดยพยายามสนใจวิถีทางของธรรมชาติ บำเพ็ญเพียรทางจิตให้ปราศจากกิเลส สร้างพลังจิตเพื่อต่อต้านสิ่งยั่วเย้าภายนอก และสงบจากอารมณ์ต่างๆ

II. ความสำคัญของเต๋า

          1. เต๋าเป็นสัจธรรม เป็นหลักธรรมความเที่ยงแท้สูงสุด (ultimate reality) หลักธรรมนี้แฝงอยู่ในทุกสิ่ง และแสดงตัวในรูปของกฎธรรมชาติที่ทำให้สรรพสิ่งมีวัฎจักรอันแน่นอนของการเกิดขึ้น เป็นอยู่ แล้วดับไป

          2. เต๋าเป็นพลังแห่งปัญญา และพลังที่ให้กำเนิดจักรวาล วัน คืน ฤดู รวมทั้งปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ

          "อหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ

          เป็นมารดาอันมหัศจรรย์

          จากทวาราแห่งมารดานี้เอง

          ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน"

          เต๋าเต๋อจิง บทที่ 6

3. เต๋าเป็นกฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นจุดกำเนิดของสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของเต๋า

          "ก่อนดำรงอยู่ของฟ้าและดิน

          มีบางสิ่งบางอย่างมืดมัวเคลือบคลุม

          เงียบงันโดดเดี่ยว

          อยู่เพียงลำพัง ไม่แปรเปลี่ยน

          เป็นอมตะหมุนเวียนไม่หยุดยั้ง

          มีค่าควรแก่การเป็นมารดาของสรรพสิ่ง

          ข้าพเจ้าไม่ทราบชื่อสิ่งนั้น

          แต่ถ้าถูกบังคับให้เรียก

          ก็จะเรียกว่า "เต๋า"

          และจะให้ชื่อว่า "ยิ่งใหญ่"

          ยิ่งใหญ่หมายถึงความต่อเนื่อง

          ความต่อเนื่องหมายถึงความยาวไกล

          ความยาวไกลหมายถึงการกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม

          ดังนั้นเต๋าจึงยิ่งใหญ่

          ฟ้าจึงยิ่งใหญ่

          ดินจึงยิ่งใหญ่

          ปราชญ์จึงยิ่งใหญ่

          นี่คือความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาล

          และปราชญ์ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น

          คนทำตามกฎแห่งดิน

          ดินทำตามกฎแห่งฟ้า

          ฟ้าทำตามกฎแห่งเต๋า

          เต๋าคงอยู่และเป็นไปด้วยตนเอง"

          เต๋าเต๋อจิง บทที่ 25

          ลักษณะสำคัญของเต๋าหรือวิถีทางของจักรวาล คือ ธรรมชาติแห่งการหมุนวน หรือการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ความคิดนี้ได้จากการสังเกตธรรมชาติ การเคลื่อนของดวงอาทิตย์ที่ทำให้เกิดกลางวัน กลางคืน และฤดูกาลต่างๆ ชาวจีนเชื่อว่าเมื่อใดก็ตามที่สภาพการณ์หนึ่งได้พัฒนาไปจนถึงสุดทางหนึ่ง สภาพการณ์นั้นจะย้อนกลับมาที่สุดทางตรงข้าม ความเชื่อพื้นฐานข้อนี้เป็นกำลังใจให้เกิดความอดทนในยามทุกข์ยาก และไม่หลงระเริงจนประมาทในยามประสบโชคดี

III. คำสอนเกี่ยวกับจุดหมายในชีวิต

          สาระสำคัญของศาสนาเต๋า คือ การเข้าถึงเต๋าและการรวมอยู่กับเต๋า ซึ่งหมายถึงการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ เล่าจื๊อเห็นว่า

          1. การดิ้นรนฝืนวิถีของธรรมชาติเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ ไม่มีสิ่งใดดีหรือเลวในตัวเอง มนุษย์เป็นผู้ตัดสินตามความรู้สึกส่วนตัวว่า สิ่งนั้นๆดีหรือเลว แล้วปล่อยตัวให้เคลิบเคลิ้มไปกับการตัดสินนั้น

          2. หนทางนำไปสู่ความสุข คือ การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น การดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติ ไม่แก่งแย่งแข่งเด่น ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน มีความอดทน อ่อนน้อมถ่อมตน จุดหมายในชีวิตไม่ใช่เกียรติยศชื่อเสียง แต่เป็นความสงบที่เกิดจากการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ



          จริยธรรม

          จริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญมากในศาสนาเต๋า เล่าจื๊อเน้นว่า ผู้ที่ไร้จริยธรรม จะไม่มีวันเข้าถึงเต๋าได้

          1. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อให้เข้าถึงเต๋า คือ อยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ วิถีชีวิตที่ดีคือวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ ผู้นับถือเต๋าย่อมพยายามรู้จักตนเอง หมั่นทำประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง อ่อนน้อมถ่อมตน มุ่งหาความสงบทางใจ

"รักษาดวงวิญญาณให้พ้นจากความมัวหมอง

          ทำจิตให้แน่วนิ่งเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่

          หายใจอย่างละเอียดอ่อนแผ่วเบา

          เหมือนลมหลายใจของเด็กอ่อนได้หรือไม่

          ชำระล้างญาณทัศนะให้หายมืดมัว

          จนอาจแลเห็นกระจ่างชัดได้หรือไม่

          มีความรักและปกครองอาณาจักร

          โดยไม่เข้าไปบังคับบัญชาได้หรือไม่

          ติดต่อรับรู้ และเผชิญทุกข์สุข

          ด้วยความสงบนิ่งไม่ทุกข์ร้อนได้หรือไม่

          แสวงหาความรู้แจ้ง

          เพื่อละทิ้งอวิชชา ได้หรือไม่

          ให้กำเนิด ให้การบำรุงเลี้ยง

          ให้กำเนิด แต่มิได้ถือตนเป็นเจ้าของ

          กระทำกิจ แต่มิได้ยกย่องตนเอง

          เป็นผู้นำในหมู่ตน แต่มิได้เข้าไปบงการ

          เหล่านี้คือคุณความดีอันลึกล้ำยิ่ง"

          เต๋าเต๋อจิง บทที่ 10

2. ปรัชญาการปกครอง นักปกครองควรมีคุณธรรมสูง ไม่ใช้อำนาจ ทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี ให้เสรีภาพแก่ราษฎรให้มากที่สุด

          3. ปรัชญาชีวิต ผู้ที่เข้าใจคนอื่นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสติปัญญา แต่ผู้ที่เข้าใจตนเองได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้ง ผู้ที่ชนะคนอื่นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีกำลัง แต่ผู้ที่ชนะตนเองได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้มแข็ง ผู้ที่รู้จักพอได้ชื่อว่าเป็นผู้มั่งมี โลกไม่สรรเสริญคนที่ชอบป่าวประกาศความดีของตน

"ผู้ที่เข้าใจคนอื่นคือผู้รอบรู้ ผู้ที่เข้าใจตนเองคือผู้รู้แจ้ง

          ผู้ที่มีชัยต่อคนอื่นคือผู้มีกำลัง ผู้ที่มีชัยต่อตนเองคือผู้เข้มแข็ง

          ผู้ที่มักน้อยคือผู้ร่ำรวย ผู้ที่มานะพยายามคือผู้มีความหวัง

          ผู้ที่อยู่ในสถานะอันเหมาะสมของตน ย่อมอยู่ได้ยาวนาน

          ถึงแม้ผู้นั้นจะสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่คุณความดียังคงอยู่สืบไป"

          ( เต๋าเต๋อจิง บทที่ ๓๓)



          จวงจื๊อ

          จวงจื๊อเป็นนักปราชญ์จีนผู้สืบทอดปรัชญาเต๋าของเล่าจื๊อ คำสอนของจวงจื๊อมีอิทธิพลมากต่อศาสนาเต๋าและพุทธศาสนาฝ่ายเซ็น ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 369 กับ 286 ก่อนค.ศ. หลักฐานเกี่ยวกับประวัติชีวิตของจวงจื๊อมีน้อยยิ่งกว่าประวัติของเล่าจื๊อ รู้กันแต่ว่าท่านมีชื่อตัวว่า โจว (Chou) รับราชการอยู่ในแคว้นเหม็ง (Meng) ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆแคว้นหนึ่ง และปฏิเสธตำแหน่งสมุหนายก เพราะต้องการความเป็นอิสระ

บทนิพนธ์ของจวงจื๊อ

          บทนิพนธ์ของจวงจื๊อชื่อ “The Chuang Tzu” เป็นหนังสือประมวลคำสอนของจวงจื๊อที่ท่านและบรรดาศิษย์เขียนขึ้น ใช้สำนวนโวหารที่ไพเราะจนถือกันว่า บทนิพนธ์เล่มนี้มีคุณค่าทางวรรณคดีด้วย

คำสอนของจวงจื๊อ

          คำสอนของจวงจื๊อมีจุดมุ่งหมายชี้ชวนให้หลีกเลี่ยงสังคม หันไปสู่วิถีชีวิตที่สงบ

          เพื่อแสวงหาความหลุดพ้น

          คำสอนของจวงจื๊อมีสาระสำคัญ 4 ข้อ คือ

          1. ความรู้เป็นสิ่งสัมพัทธ์ การที่จะรู้ว่าสิ่งใดเป็นจริงหรือไม่จะต้องพิสูจน์โดยการเปรียบเทียบกับสิ่งใกล้เคียง

          2. ธรรมชาติมีความเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของธรรมชาติ เช่น จากเซลล์ที่มีโครงสร้างง่ายๆเป็นเซลล์ซับซ้อน ด้วยเหตุนี้สรรพสิ่งจึงอยู่ในระเบียบเดียวกันและมีวิถีเดียวกัน คือ เกิดขึ้น เป็นอยู่ แล้วดับไป

          3. มนุษย์มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ความสัมพันธ์นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์พยายามเข้าถึงเต๋า

          4. สรรพสิ่งเริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่มีตัวตน คือเต๋า



          สถานภาพของสตรี

          เล่าจื้อเน้นความเสมอภาคของหยินกับหยาง ความเท่าเทียมของความเป็นหญิงกับความเป็นชาย ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน

แนวคิดเรื่องความตาย

          ศาสนาเต๋าไม่พูดถึงเรื่องโลกหน้า เชื่อว่า คนเราควรจัดการกับชีวิตปัจจุบันให้ดีที่สุด ตั้งสติให้อยู่ในขณะจิตปัจจุบันเสมอ ความตายเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิต

ความเปลี่ยนแปลงและนิกายในศาสนาเต๋า

          ปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น มีผู้เลื่อมใสคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งของเล่าจื๊อแพร่หลายมากขึ้นเป็นลำดับ ในสมัยสามก๊กต่อจากปลายราชวงศ์ฮั่น เตียมเหล็งได้ตั้งตัวเป็นปรมาจารย์ แห่งเต๋า ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถัง เล่าจื้อได้รับการยกย่องมากเนื่องจากเป็นราชวงศ์แซ่ลี้เช่นเดียวกับเล่าจื๊อ

          ในราวศตวรรษที่สองของคริสตกาล คำสอนของเล่าจื๊อถูกเปลี่ยนแปลงไป เกิดเป็นนิกายต่างๆขึ้น มีลักษณะพอสรุปได้ดังนี้

          1. นิกายแบบที่แสวงหาความมีอายุยืนโดยใช้ไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา

          2. นิกายแบบที่แสวงหาความมีอายุยืนนานโดยการเล่นแร่แปรธาตุ

          3. นิกายแบบที่สนใจเฉพาะไสยศาสตร์ การติดต่อกับเทพเจ้าและวิญญาณของผู้ตาย รวมทั้งการทำนายอนาคต

คัมภีร์ของศาสนาเต๋า

          คัมภีร์ของศาสนาเต๋า เรียกว่า “เต๋าเต็กเก็ง” เต๋า แปลว่า ทาง คำว่า เต็ก แปลว่าคุณธรรม หมายถึงการแสดงออกของสัจธรรม คุณธรรมที่เรารู้เห็นได้ คำว่า เก็ง แปลว่าวรรณคดี

          “เต๋าเต็กเก็ง” เป็นบทกวีใช้ภาษาวรรณคดี มีเนื้อหาเกี่ยวกับ

          - หลักจริยธรรม

          - อภิปรัชญา

          - รัฐศาสตร์การปกครอง

          - คุณธรรมของนักปกครอง

          - ความสันโดษ การสละโลก

          คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งมีความยาวประมาณ 5, 500 คำ มี 81 บท แบ่งเป็น 2 ภาค คือ

          1. ภาคแรกประกอบด้วยบทที่ 1ถึง 37 รวมเป็น 37 บท เริ่มต้นด้วยคำว่า เต๋า กล่าวถึงความจริงสูงสุด คือ เต๋า ลักษณะและธรรมชาติของเต๋า การเกิดสิ่งต่างๆ หลักจริยธรรมและวิธีเข้าถึงเต๋า

          2. ภาคที่สองประกอบด้วยบทที่ 38 ถึง 81 รวมเป็น 44 บท เริ่มต้นด้วยคำว่า เต้ ซึ่งแปลว่า คุณธรรม กล่าวถึงลักษณะการปกครองที่ดีและรัฐในอุดมคติแบบเต๋า ลักษณะของนักปราชญ์ที่แท้จริง และวิธีดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข

          คำสอนในคัมภีร์บางตอนเข้าใจยาก ข้อความหลายตอนเป็นปริศนา มีลักษณะขัดแย้งกันในตัวเอง (paradoxical) เช่น “ผู้ใดไม่ออกจากบ้าน ผู้นั้นจะรอบรู้เรื่องของจักรวาล”

พิธีกรรม

          ศาสนาเต๋าเริ่มต้นด้วยการเป็นปรัชญา จึงไม่มีพิธีกรรม ไม่มีข้อปฏิบัติสำหรับบรรดาศิษย์ มีแต่ข้อคิดและคำสอน

          เมื่อมีการประยุกต์คำสอนของเล่าจื๊อเข้ากับคำสอนของขงจื้อ และพระพุทธศาสนา ศาสนาเต๋าก็รับอิทธิพลของศาสนาทั้งสองในด้านพิธีกรรมเข้ามาด้วย

          ต่อมาเมื่อไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทสำคัญในศาสนาเต๋า จึงเกิดพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถาและการปลุกเสก พิธีไล่ผี เซ่นไหว้เทพเจ้า นักบวชเต๋ากลายเป็นที่ปรึกษาหาฤกษ์ยามและวันมงคลสำหรับประกอบพิธีต่างๆ

          ปัจจุบันในวัดเต๋า เช่นที่ไต้หวัน มีการสวดมนตร์ประจำวัน ในวันขึ้นปีใหม่(ตรุษจีน)และเทศกาลถือศีลกินเจ มีการสวดมนตร์ รำดาบ ปัดแส้ พรมน้ำมนตร์ เผากระดาษเหลืองและเซ่นไหว้เทพเจ้าด้วยอาหารและผลไม้



          ประเพณีกินเจ

          เป็นประเพณีที่ผสมผสานกับพระพุทธศาสนา จุดสำคัญของการกินเจคือ การถือศีล และละเว้นการบริโภคอาหารเนื้อสัตว์

          เทศกาลกินเจตรงกับวันสุดท้ายของเดือนที่แปดนับจากปฏิทินจีน

         ดาวน์โหลดเอกสาร

          จัดทำโดย อ. มธุรส ศรีนวรัตน์, B.A., M.A. (Innsbruck)