ศาสนาซิกข


           ๑.กำเนิดศาสนา (เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน จากเหตุปัจจัยอะไร)

           สาธารณรัฐอินเดียในอดีตเป็นแหล่งกำเนิดของหลายศาสนา ชาวอินเดียเรียกดินแดนที่ตนอาศัยอยู่ว่า “ภารตวรรษ”และมีศาสนาฮินดูหรือสนาตนธรรมเป็นศาสนาดั้งเดิม สำหรับผู้ศึกษาและนับถือพระพุทธศาสนาจะรู้จักชื่อของสาธารณรัฐอินเดียว่า “ชมพูทวีป”เพราะเป็นถิ่นกำเนิดของพระพุทธศาสนาซึ่งมีศาสนาเชนเกิดร่วมสมัยด้วย นอกจากนี้ประมาณปีพ.ศ.๒๐๑๒ อินเดียได้มีศาสนาใหม่เพิ่มขึ้นมาและเป็นที่รู้จักกันดีในนามของศาสนาซิกข์ มีพระศาสดาพระองค์แรกพระนามว่า คุรุนานัก

           ปฐมศาสดาของศาสนาซิกข์มีพระประวัติที่น่าสนใจเพราะพระองค์นับถือศาสนาฮินดูมาก่อนและทรงปฏิเสธการนับถือพระเจ้าหลายพระองค์มาเป็นเพียงพระองค์เดียว พระนามว่า วาเฮ่คุรุ อย่างเคร่งครัด พระเจ้าพระองค์เดียวนี้ทรงเป็นผู้สมบูรณ์และแผ่ไปทั่วสรรพสิ่ง ทรงเป็นอมตภาวะ เป็นผู้สร้างมูลเหตุของเหตุทั้งปวง ทรงสถิตมั่นคงในทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างและทรงคุ้มครองสิ่งเหล่านั้น พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคณะหรือชาติใดแต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา คุณธรรม และสัจธรรมอันแท้จริง นอกเหนือจากนี้คือคำสอนให้ศาสนิกชนมีวิถีชีวิตที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เลื่อมใสในสัจธรรมของศาสนาอื่นและรับใช้ผู้คนในสังคม แนวความคิดเช่นนี้ได้รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่แรกจนมาถึงคุรุพระองค์ที่๑๐ ซึ่งเป็นพระองค์สุดท้าย พระนามว่า คุรุโควินทสิงห์ และหลังจากนั้นพระศาสดาพระองค์นี้ได้ประทาน คุรุครันถ์ ซาฮิบ เป็นพระศาสดาชั่วนิรันดร์แทนพระศาสดาที่เป็นมนุษย์สืบต่อไป

๒.ศาสดาและสาวก (ใครคือศาสดาและสาวกสำคัญ)


          
           ๑.พระศาสดาคุรุนานัก เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๐๑๒ ในตระกูลไรภู ณ ตำบลทวันตี ราวประมาณ ๔๐ ไมล์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองละฮอร์ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน บิดาของท่านนามว่า เมรทากัลยาณจันท์ (กาลู) เป็นชาวฮินดู วรรณะกษัตริย์เปดี

 

          
          ๒.พระศาสดาคุรุอังคัท (พ.ศ.๒๐๘๒-๒๐๙๕) เป็นศิษย์ที่คุรุนานักรักมาก เป็นนักภาษาศาสตร์ได้รวบรวมบทประพันธ์และชีวประวัติของคุรุนานักขึ้น ได้ตั้งศูนย์เผยแผ่คำสอนขึ้นหลายแห่ง ทำให้ชาวซิกข์มีความสมัครสมานใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น



          
           ๓.พระศาสดาคุรุอมัรทาส (พ.ศ.๒๐๙๕-๒๑๑๗) เป็นนักปฏิรูปสังคมท่านสอนว่าสตรีมีสิทธิหลุดพ้นได้ ทั้งคัดค้านการคลุมหน้าของสตรีและเผาตัวทั้งเป็นเมื่อสามีสิ้นชีวิตตามคำสอนในศาสนาฮินดู



          
           ๔.พระศาสดาคุรุรามทาส (พ.ศ.๒๑๑๗-๒๑๒๔) ท่านสร้างศูนย์กลางศาสนาซิกข์ขึ้น ณ เมืองอมฤตสาร มีการขุดสระอมฤตขึ้น เมืองรอบๆสระนั้นชื่อว่ารามทาสปูร์ตามชื่อของท่าน ท่านตั้งแบบแผนผู้สืบทอดตำแหน่งต้องเป็นเชื้อสาย



          
           ๕.พระศาสดาคุรุอรชุน (พ.ศ.๒๑๒๔-๒๑๔๙) ท่านได้สร้างสุวรรณวิหารขึ้นกลางสระอมฤต และรวบรวมคำสอนของแต่ละพระศาสดาเป็นคัมภีร์ชื่อ อาทิครันถ์ ซาฮิบรวมทั้งข้อเขียนของชาวฮินดูและมุสลิมรวมด้วย ท่านได้ประกาศแยกตัวศาสนาซิกข์ออกจากศาสนาฮินดูและอิสลาม จนท่านถูกพระจักรพรรดิมุสลิมแห่งราชวงศ์โมกุลสั่งจับเอาไปทรมานไว้จนสิ้นพระชนม์




          
           ๖.พระศาสดาคุรุหริโควินท์ (พ.ศ.๒๔๑๙-๒๑๘๘) ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของคุรุอรชุน ท่านได้ประกาศวิธีการใหม่ของศาสนาซิกข์คือการสร้างป้อมปราการพร้อมทั้งฝึกทหาร พร้อมทั้งให้โอวาทแก่ศิษย์ว่า “เราต้องพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเพื่อคุรุอรชุน” ท่านเป็นคุรุพระองค์แรกที่ใช้ดาบป้องกันเมืองและศาสนา ใช้กาน้ำคู่กับดาบเป็นสัญลักษณ์ซึ่งหมายถึงอำนาจทางโลกและทางธรรม ท่านจึงเป็นทั้งนักรบและนักเผยแผ่ศาสนา ช่วงนี้มีศาสนิกชนจำนวนมากเข้าสู่ศาสนาซิกข์




          
           ๗.พระศาสดาคุรุหริไร (พ.ศ.๒๑๘๘-๒๒๐๔) ท่านทำให้ศาสนาซิกข์มีความเจริญรุ่งเรือง มีกองทหารที่เข้มแข็ง และสามารถทำให้บุคคลสำคัญในศาสนาฮินดูหันมานับถือศาสนาซิกข์ได้



          
           ๘.พระศาสดาคุรุหริกฤษัน (พ.ศ.๒๒๐๔-๒๒๐๗) ท่านสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนม์ ๙ พรรษา




          
           ๙.พระศาสดาคุรุเตฆพทุร์ (พ.ศ.๒๒๐๗-๒๒๑๘) ท่านเป็นวีรบุรุษที่หาญกล้า ในสมัยพระเจ้าโอรังเซบท่านได้ถูกจับไปยังกรุงเดลีและบังคับให้ท่านเปลี่ยนศาสนา แต่ท่านไม่ยอมจึงถูกประหารชีวิตและสับร่างกายเป็น ๔ ท่อน เอาไปแขวนประจานไว้ที่ป้อมประตูทั้ง ๔ ทิศของกรุงเดลี




          
           ๑๐.พระศาสดาคุรุโควินทสิงห์ (พ.ศ.๒๒๑๘-๒๒๕๑) ท่านได้รับการขนานนามว่า “นักบุญผู้เป็นทหาร” ท่านได้รับหน้าที่เป็นพระศาสดาเมื่อพระชนม์ ๙ พรรษา ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวซิกข์เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย เพราะถูกกลามมุสลิมเบียดเบียน ชาวซิกข์บางคนเกรงกลัวจนไม่กล้าแสดงตนเป็นศาสนิก ท่านได้ตั้งศูนย์กลางเผยแผ่ศาสนาขึ้นที่เมืองธากาหรือตักกา และรัฐอัสสัม พร้อมประกาศว่าทุกคนควรเป็นนักรบต่อสู้ศัตรู เพื่อจรรโลงชาติและศาสนาของตน ซิกข์ทุกคนต้องเป็นคนกล้าหาญโดยให้นามว่า สิงห์ หมายถึง ความกล้าหาญ สำหรับผู้เข้าร่วมพิธีศีลจุ่ม ด้วยการประพรมน้ำมนต์และให้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีดาบแช่ไว้เรียกว่า “น้ำอมฤต” ก่อนการสิ้นพระชนม์พระองค์มิได้ตั้งให้ใครเป็นพระศาสดาสืบต่อแต่ทรงตั้งพระอาทิครันถ์ ซาฮิบ เป็นพระศาสดานิรันดร

๓.นิกายต่างๆ (แบ่งออกเป็นกี่นิกาย ทำไม แต่ละนิกายแตกต่างกันอย่างไร ในเรื่องคำสอน การปฏิบัติ และพิธีกรรม)

           นามธารี แปลว่า ผู้ซึ่งเทิดทูนธำรงรักษาให้ทรงไว้ซึ่งพระนามของพระผู้เป็นเจ้า หรือผู้ยึดมั่นในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ( นาม หมายถึง พระนามของพระผู้เป็นเจ้า ส่วน ธารี หมายถึงการธำรงรักษา) จึงกล่าวได้ว่า ชาวซิกข์-นามธารี คือผู้ที่มีความรัก เชื่อถือศรัทธา และยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว โดยเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาผู้ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ เสมือนอาจารย์ผู้สั่งสอนศิษย์ เพราะชาวซิกข์-นามธารีเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนต้องได้รับการศึกษาวิชาต่างๆ จากครูบาอาจารย์เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ในเรื่องของการดำเนินชีวิต และการแสวงหาหนทางสู่ความหลุดพ้น ล้วนแล้วแต่ต้องมีครูผู้นำทางชีวิตทั้งสิ้น ศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีทุกคนในฐานะ ศิษย์ จึงต้องมี ครู เพื่อชี้นำแนะแนวเส้นทางการดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายเสมอตลอดอายุขัย และการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จได้ก็ย่อมต้องผ่านทาง คุรุ หรือองค์พระศาสดาผู้เทิดทูน และยึดมั่นในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

           ศาสนาซิกข์-นามธารีเป็นศาสนาประเภท เอกเทวนิยม (Monotheism) คือ เชื่อว่ามีพระเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียว แต่พระองค์มีหลายพระนามตามแต่คนจะเรียกขาน อีกทั้งศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารียังเชื่อว่าองค์พระศาสดาทุกพระองค์ล้วนเป็นปางอวตารของพระผู้เป็นเจ้า เสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า

           ชาวซิกข์-นามธารีทุกคนถูกปลูกฝังคุณธรรมเข้าไปในชีวิต และจิตวิญญาณตั้งแต่แรกเกิดเสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุที่บิดามารดา และบรรพบุรุษก็ดำรงชีวิตอันเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และความดีงาม รวมทั้งสอดคล้องต่อหลักธรรมชาติ และเน้นความเรียบง่ายตลอดมา ดังคำกล่าวที่ว่า “Simple living, High thinking”

           เมื่อทารกใหม่ได้ลืมตาดูโลกขึ้นมาในครอบครัวของศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารี สิ่งแรกที่จะได้รับคือ พระนาม (Naam) ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการสวดมนต์ไปตลอดชีวิต โดยจะมีคนพูดอยู่ข้างหู พร้อมทั้งให้รับน้ำอมฤตด้วย อาหารที่ทารกจะได้รับไปตลอดชีวิตคืออาหารมังสวิรัติซึ่งไม่เบียดเบียนชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งปวงเพื่อนำมาบริโภค และล้วนแล้วแต่เป็นอาหารธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ด้วยเหตุที่คำนึงถึงคำกล่าวที่ว่า “You are what you eat” ฉะนั้น ศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีทุกครอบครัวจึงใส่ใจและพิถีพิถันเป็นพิเศษในการประกอบอาหารเสมอ โดยส่วนใหญ่ผู้หญิงในครอบครัวจะสวดมนต์ไปด้วยระหว่างทำอาหารทุกมื้อให้ทุกคนในครอบครัวรับประทาน เพราะถือว่าการทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ระหว่างประกอบอาหารนั้นย่อมทำให้อาหารนั้นบริสุทธิ์มากขึ้นไปด้วยเพื่อให้ผู้รับประทานได้รับแต่สิ่งที่ดีต่อร่างกายและจิตวิญญาณในขณะเดียวกัน โดยศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีส่วนใหญ่มักนำอาหารจากที่บ้านไปทานที่ทำงาน หรือโรงเรียนเสมอ

           ทุกเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีจะตื่นและอาบน้ำชำระล้างร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หลังจากนั้นจะชำระล้างจิตใจด้วยการทำสมาธิสวดมนต์ระลึกถึงพระนามของพระผู้เป็นเจ้าเสมอ และพร้อมที่จะออกไปทำงานด้วยกายและใจที่สงบ มีสติและเป็นสมาธิ การดำเนินชีวิตรวมทั้งการค้าขายก็จะคงไว้ซึ่งคุณธรรมเสมอ โดยไม่เอาเปรียบทุกสรรพชีวิตทั้งทางกาย วาจา และใจ เมื่อกลับมาบ้านเวลาเย็นก็จะอาบชำระล้างร่างกายอ่านพระคัมภีร์ และศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีมักเข้านอนแต่หัวค่ำเสมอ เพื่อที่จะตื่นแต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อสุขภาพกายและใจ โดยศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีจะปฏิบัติวัตรเช่นนี้เป็นประจำ ส่วนในวันอาทิตย์เช้าก็จะไปร่วมกันทำสมาธิ ฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างพร้อมเพรียงกันที่ศาสนสถานเสมอ

           ศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีมีลักษณะอันโดดเด่นเพราะการแต่งตัว เช่น การโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาว การไว้ผมยาว และหนวดเครา ผู้หญิงก็จะไว้ผมยาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาที่ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาไม่เคยตัดแต่งใดๆ เลย ปล่อยไว้ตามธรรมชาติเสมอ ที่ข้อมือของศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีทุกเพศทุกวัยจะมีกำไลเหล็กสวมใส่ไว้ คนที่มีลักษณะดังกล่าวเรียกตัวเอง ซิกข์-นามธารี และคำเรียกข้างหลังชื่อผู้ชายก็ต้องมีคำว่า ซิงห์ ซึ่งหมายถึงสิงโต หรือราชสีห์ตามนิยายโบราณว่าเป็นพญาของสัตว์ทั้งหลาย ส่วนผู้หญิงจะมีคำเรียกข้างหลังชื่อว่า กอร์ ซึ่งหมายถึงเจ้าชาย ศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีเป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่และอาชีพของตน ชาวไทยมักรู้จักศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีในแถวสำเพ็ง และพาหุรัด เพราะพวกเขาเป็นพ่อค้าขายผ้าเป็นส่วนมาก

           ในเรื่องของคู่ชีวิต ศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีส่วนใหญ่มักจะให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวซึ่งมีประสบการณ์ในเรื่องชีวิตคู่มาแล้วช่วยตัดสินใจเลือกคู่ครองให้ ซึ่งโอกาสในการผิดพลาด และเลิกรากันเป็นมีน้อยมาก พิธีมงคลสมรสของศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีจะถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและประหยัด ซึ่งบ่อยครั้งที่มีการสมรสหมู่มากกว่าหนึ่งคู่ และศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีทั้งชายหญิงจะถูกปลูกฝังในเรื่องการใช้ธรรมะควบคู่ไปกับการครองเรือนเสมอ

           วิถีชีวิตดังกล่าวดำเนินไปทุกวันทั้งในด้านความคิด วิจารณญาณ อาหาร และอาชีพอันสุจริต ความยึดมั่นในคุณงามความดี รวมทั้งคุณธรรม การไม่เบียดเบียนทุกสรรพชีวิต สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้ศาสนิกชนชาวซิกข์-นามธารีทุกคนได้รับการปลูกฝังให้อยู่อย่างเรียบง่าย และพอเพียงเผื่อแผ่ผู้อื่นเสมอ โดยที่สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในชีวิตทุกวันจนกลายเป็นความเคยชินในการดำรงชีวิตอันดีงามอย่างไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากเล

           ๔.คำสอนเกี่ยวกับการกำเนิดโลกและมนุษย์ ธรรมชาติของมนุษย์ ชะตากรรมของมนุษย์ ความตาย ความดี ความชั่ว ฐานะของสตรี

ในศาสนาซิกข์ การที่มนุษย์จะสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้นั้น จะต้องตัดกิเลสต่างๆ ทั้งห้าให้หมดสิ้นเสียก่อน กิเลสทั้งห้าประการนี้ คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหยิ่งยโส และความเห็นแก่ตัว มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่สามารถละเว้นกิเลสต่างๆ เหล่านี้ได้ ถือว่าเป็นผู้ที่ได้ดำรงชีวิตตามหลักสัจธรรม และได้เข้าถึงพระเจ้าแล้วนั่นเอง

           ศาสนาซิกข์เชื่อในเรื่องของการกลับชาติมาเกิดใหม่ ชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้านแล้วในการที่จะมีโอกาสระลึกถึงพระเจ้า แต่การที่มนุษย์จะสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาในชาตินี้ ตามหลักของศาสนาซิกข์นั้น มนุษย์ทุกคนควรจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฎจักรของชีวิต หรือการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ด้วยการหมั่นระลึกถึงพระเจ้าและสวดมนต์ภาวนา

           โดยในศาสนาซิกข์นั้นถือว่าพระเจ้า ก็คือความจริงนั่นเอง ดังนั้นมนุษย์เราทุกคนจึงควรต้องดำรงชีวิตประจำวันตามหลักสัจธรรมเพื่อจะได้ช่วยให้เราเข้าถึงพระเจ้าได้ในที่สุด

           สิทธิสตรีในสังคมของชาวซิกข์

           สตรีมีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งในสังคมของชาวซิกข์ เธอได้รับความเคารพนับถือและได้รับการยอมรับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากทั้งในครอบครัวและในสังคม ครอบครัวชาวซิกข์ที่ได้ให้กำเนิดบุตรสาวจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคลแต่อย่างใด และในศาสนาซิกข์จะไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นการละเมิดสิทธิสตรี อย่างเช่น "พิธีซาติ" หรือ พิธีการเผาหญิงหม้ายทั้งเป็นให้ตายตามสามีของเธอไป ซึ่งเป็นประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันในศาสนาฮินดู แต่ในศาสนาซิกข์นั้น หญิงหม้ายชาวซิกข์ทุกคนจะมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในการที่จะสมรสใหม่อีกครั้ง ตามแต่ความประสงค์และความสมัครใจของเธอ

           สตรีชาวซิกข์จะได้รับการยอมรับในสังคมและมีสิทธิเท่าเทียมกับบุรุษชาวซิกข์ทุกประการ พวกเธอจะมีความเป็นอิสระและมีเสรีภาพทุกประการเช่นเดียวกับบุรุษ และสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นและร่วมประกอบศาสนากิจต่างๆ รวมถึง พิธีการรับน้ำอมฤต ได้อย่างบุรุษชาวซิกข์ทุกประการ

           สตรีชาวซิกข์ไม่จำเป็นจะต้องสวมผ้าคลุมหน้า แต่การสวมเสื้อผ้าที่ไม่สุภาพเรียบร้อย จะถือเป็นการเสื่อมเสียเกียรติ์เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ในศาสนาซิกข์นั้นจะห้ามมิให้มีการเรียกร้องค่าเลี้ยงดูจากการหย่าร้าง และการเรียกร้องสินสอดทองหมั้นจากการแต่งงานอย่างเด็ดขาด

           ๕.หลักจริยธรรมสำคัญเกี่ยวกับการตัดสินความดี ความชั่ว การเป็นแนวทางดำเนินชีวิต และการสร้างมนุษยสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สามี ภรรยา พ่อแม่-ลูก

           ศีลประจำชีวิตมี ๒๑ ข้อ แบ่งเป็นข้อปฏิบัติ ๑๐ ข้อและ ข้อห้าม ๑๑ ข้อ

           ข้อปฏิบัติ

           ๑. นับถือศาสดาทุกท่านเป็นบิดา และถือตนเป็นบุตรแห่งศาสดานั้น

           ๒. นับถือตัลวันทิที่เกิดและคาเตปุระแคว้นปัญจาป ที่ตายของคุรุผู้ปฐมศาสดาเป็นปูชนียสถาน

           ๓. เลิกถือชั้นวรรณะ

           ๔. พยายามสละชีพในการรบ

           ๕. บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ๓ ประการ คือ

           (๑) พระเจ้าผู้เป็นสัจจะ เป็นศรีและเป็นอกาล

           (๒) ศาลโนวาทของคุรุทั้งหลาย

           (๓) ความบริสุทธิ์

           ๖. มี "ก" ๕ เป็นสัญลักษณ์ติดตัว คือ

           (๑)กฑา (๒) กัจฉา (๓) เกศะ (๔) กังฆา (๕) กฤปาน

           "ก" ๕ สัญลักษณ์ชาวสิกข์ บัญญัติเพราะมีประสงค์อบรมชาวสิกข์ให้เป็นทหารโดยนิสัย

           มิใช่เหตุการณ์บังคับ

  

๑. กฑา กำไลเหล็ก เป็นข้อเตือนใจทหารว่าเหล็กเป็นโลหะมีค่ามาก

           ทั้งทางการค้าและอาวุธ

๒. กัจฉา กางเกงขาสั้น กางเกงขายาวไม่เหมาะในการรบ จึงให้ใช้

           กางเกงขาสั้น

๓. เกศะ ผม ให้ไว้ผมยาว เพราะ

           ๓.๑ เพื่อใช้เป็นเกราะสวมศีรษะ

           ๓.๒ ให้มองดูน่าเกรงขาม

           ๓.๓ ทำลายขวัญข้าศึก

๔. กังฆา หวี หวีกับผมเป็นของคู่กัน



           ๕.กฤชปาน ดาบ เป็นประโยชน์สำหรับนักรบ

๖. มีชื่อต่อท้ายว่า "สิงห์" หรือ "ซิงห์"

           ๗. ฝึกขี่ม้า ฟันดาบ และมวยปล้ำ เป็นนิจ

           ๘. ให้ถือคติว่า ตนเกิดมาเพื่อช่วยเบื้องทุกข์ให้แก่ผู้อื่น และนำความเจริญให้แก่ชาติศาสนา

           ๙. นอบน้อมพระผู้เป็นเจ้า ผู้อกาล และต้อนรับแขกเป็นกรณียกิจประจำวัน

           ข้อห้าม

           ๑. ห้ามมิให้ทะเลาะวิวาทระหว่างศิษย์ด้วยกัน

           ๒. ห้ามพูดมุสา

           ๓. ห้ามผิดในกาม โกรธ โลภ หลง

           ๔. ห้ามคบค้ากับคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนา

           ๕. ห้ามคบค้ากับคนที่ไม่ส่งเสริมการรบกู้ชาติ

           ๖. ห้ามนิยมใช้สีแดง เช่น เสื้อสีแดง หมวกสีแดง เนื่องจากสิกข์ถือว่าสีแดงเป็นเครื่องหมาย

           แห่งความรักและเมตตา เป็นอารมณ์ขัดต่อนิสัยนักรบ

           ๗. ห้ามเปลือยศีรษะ นอกจากเวลาอาบน้ำ สิกข์ต้องโพกผ้าตลอดเวลา มีความหมายว่า

           ทหารย่อมไม่เปิดหมวกให้ใคร อีกประการหนึ่งให้รู้สึกตนอยู่เสมอว่าตนเป็นทหาร

           ๘. ห้ามเล่นการพนัน

           ๙. ห้ามตัดหรือโกน ผมและขนทุกชนิดในตัว

           ๑๐. ห้ามเกี่ยวข้องกับคนที่เบียดเบียนชาติและศาสนา

           ๑๑. ห้ามแต่งกายหรูหราไร้สาระ

๖.พิธีกรรม

           กฎวินัยของพวกซิกข์(เรฮาต มาร์ยาดา)

           ได้กำหนดกิจวัตรประจำวันไว้ให้ผู้นับถือปฏิบัติ นั่นคือ การตื่นแต่เช้าตรู (ตีสามถึงหกโมงเช้า) เพื่ออ่านคัมภีร์และทำ “นามชาปณะ” (การทำสมาธิถึงพระนามของพระเจ้า) นอกจากนั้นแล้วชาวซิกข์จะอ่านคัมภีร์ในตอนเย็น ตอนดวงอาทิตย์ตกและในตอนกลางคืนก่อนที่จะไปพักผ่อนด้วย

           ชาวซิกข์จะไปร่วม “สังกัต”(การชุมนุม)ประจำวันในที่ทำศาสนกิจและฟังคัมภีร์ หลังจากนั้น ชาวซิกข์ก็จะทำความเคารพคัมภีร์คุรุกรัณฑ์ซาฮิบโดยการเอาหน้าผากสัมผัสที่พื้น ชาวซิกข์ไม่ได้รับอนุญาตให้กินเนื้อที่เชือดตามประเพณีของมุสลิมและจะต้องไม่ตัดผม ผู้รู้แห่งปัญจาบถูกมองว่าจำเป็นต้องเข้าใจคัมภีร์ พิธีการแต่งงานก็ได้ถูกกำหนดไว้เป็นการเฉพาะและในตอนตายก็จะมีการอ่านคัมภีร์ที่ได้ถูกกำหนดไว้และมีพิธีกรรมที่จะต้องปฏิบัติตามเป็นของตนเอง

เทศกาลของชาวซิกข์

           เทศกาลที่ชาวซิกข์เฉลิมฉลองคือเทศกาลที่เป็นวันสำคัญแห่งชีวิตของบรรดาคุรุและเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชาวซิกข์เช่นการเฉลิมฉลองให้แก่การยอมพลีชีวิตของคุรุอารยันเทพและคุรุเทฆ บาฮาดูร์ ขณะเดียวกันก็มีการเฉลิมฉลองวันเกิดของคุรุนานัคและคุรุโกบินด์ ซิงห์ ไพสาขะเป็นเดือนแรกของปีใหม่ของชาวซิกข์

๗.ประเทศที่มีศาสนิกชนศาสนานี้

           สาธารณรัฐอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ เนปาล ชาวซิกข์ในอินเดียและต่างประเทศ

           ในปัญจาบมีชาวซิกข์ประมาณ ๑๒ ล้านคนและอีกกว่า ๓ ล้านในรัฐและดินแดนที่ติดกับอินเดีย ในเบงกอลตะวันตก ในมัธยมประเทศและในมหารัชตระก็มีชุมชนชาวซิกข์เล็กๆหลายแห่ง ชาวซิกข์อีกส่วนหนึ่งประมาณ ๑ ล้านคนได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานในอังกฤษ แคนาดาและสหรัฐ นอกจากนี้ก็มีชุมชนเล็กๆในประเทศยุโรปแทบทุกประเทศ ในตะวันออกกลาง เอเซียตะวันออก อาฟริกาและออสเตรเลีย

       
         ดาวน์โหลดเอกสาร          

           จัดทำโดย

           อ.อาชว์ภูริชญ์ น้อมเนียน

           ศศ.บ. (ศาสนศึกษา) เกียรตินิยมอันดับ ๒ ว.ศาสนศึกษา ม.มหิดล

           M.A. (Indian Philosophy and Religion), Banaras Hindu University, Varanasi, India

           E-mail : callarchphurich@yahoo.com