พิธีกรรมและเทศกาลของศาสนาพุทธในทิเบต

                                                                                                                                                                                                                                  

พิธีกรรมของชาวพุทธในทิเบตนั้นสามารถพบเห็นได้แทบทุกที่ของประเทศทิเบต ไม่ว่าพระสงฆ์หรือฆราวาสต่างต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาทั้งนั้น และไม่ว่าจะเป็นงานมงคลสำคัญหรือปกติธรรมเพียงใด พิธีกรรมก็มีส่วนสำคัญต่อชาวทิเบตเป็นอย่างยิ่ง หากท่านได้มีโอกาสไปเยี่ยมหรือนอนค้างในวัดทิเบต ในวันนั้นทั้งวันท่านจะได้ยินแต่เสียงสวดมนต์และอุปกรณ์ดนตรีที่ต้องใช้ประกอบในงานพิธี เช่น ทรัมเป็ด, ฆ้อง, กลอง และฉาบ หรือหากวันใดท่านมีโอกาสเดินไปตามซอกซอยของหมู่บ้านในยามเช้า ท่านจะพบว่าชาวทิเบตได้เริ่มประกอบพิธีแต่เช้าโดยการจุดไฟเผา Juniper Twigs (ไม้พุ่มประเภทหนึ่งที่นำมาจุดเพื่อให้มีกลิ่นหอม) ตามชายคาของบ้าน บางคนก็ประกอบพิธีด้วยการทำความสะอาดบ้านเรือน บางบ้านก็จะทำพิธีถวายอาหารแก่เหล่าเทวดา ตลอดวันทั้งวันฆราวาสก็จะวุ่นอยู่กับการทำพิธีถวายอาหาร ดอกไม้ธูปเทียน หรือไม่ก็ถวายเงินแก่คณะสงฆ์เพื่อทำนุบำรุงศาสนสถาน ก่อนที่ชาวทิเบตจะทานอาหารในแต่ละมื้อ พระสงฆ์และภิกษุณี (แม่ชี) พร้อมด้วยเหล่าฆราวาสต่างก็ท่องบทสวดมนต์เพื่อเป็นการถวายอาหารมือนั้นให้กับพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีชาวทิเบตจำนวนไม่น้อยที่ต้องพกพาสิ่งที่เรียกว่า “มาลาส” หรือประคำติดตัวในเวลาที่ต้องเดินทางไปไหนต่อไหน บ้างก็ทำเสียงพึมพำด้วยการสวดมนต์เบาๆ ขณะที่ก้าวย่างไปเรื่อยพร้อมกับมือที่ต้องนับลูกประคำไปด้วยในตัว

ในแต่ละเดือน จะต้องมีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๗ วัน ที่ชาวทิเบตจะต้องจัดงานพิธีกรรมที่พิเศษเฉพาะขึ้นมา ชาวทิเบตเชื่อว่า ในช่วงของวันพิธีกรรมที่สำคัญอย่างนี้ ไม่ว่าจะสร้างกรรมดีหรือกรรมร้าย ผลของกรรมย่อมจะให้ผลอย่างอนันต์และอย่างมหันต์ ทุกๆวันพุธ ชาวทิเบตเชื่อว่าเป็นวันมงคลที่ต้องประกอบพิธี เพราะเชื่อว่าวันพุธคือวันประสูติขององค์ทะไลลามะ ในวันที่พระจันทร์เต็มดวงพระสงฆ์ก็จะร่วมกันสวดมนต์ให้พิเศษกว่าวันอื่นๆ และในวันประกอบพิธีสารภาพก็เช่นเดียวกัน คือจะมีการสวดมนต์ชนิดพิสดารกว่าปกติ ส่วนชาวบ้านก็จะประกอบพิธีพร้อมกับการรักษาศีลแปดติดต่อกันสองวัน

ตามกำหนดปฏิทินจันทรคติรายปีของชาวทิเบต จะเต็มไปด้วยเทศกาลของพิธีกรรมประจำปี ซึ่งเป็นประเพณีที่พระสงฆ์และฆราวาสแยกกันจัดพิธี พระก็จะทำพิธีกันในวัด ส่วนฆราวาสก็จัดพิธีกันเองตามบ้านเรือนของตน การเฉลิมฉลองเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวทิเบตนั้น จุดเด่นของงานขึ้นปีใหม่ก็คือ การเต้นรำและการสวดมนต์ และมีการประกอบพิธีเพื่อระลึกถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำด้วย ในแต่ละปีจะมีพิธีกรรมหลายอย่างที่มีพระสงฆ์จำนวนมหาศาลเข้าร่วมประกอบพิธีด้วย ระหว่างเดือนที่สี่เดือนศักดิ์สิทธิ์ (ซากาดาวา) ตามปฏิทินของทิเบต จะมีการประกอบพิธีเพื่อเป็นการรำลึกถึงวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธองค์ ในทิเบตมีพิธีเฉลิมฉลองมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพระพุทธเจ้าและของพระสงฆ์อันเป็นที่เคารพยิ่งของชาวทิเบต ในโอกาสพิธีเช่นนี้ การสวด  บทสวดที่ใช้สวด สิ่งที่ต้องใช้ประกอบพิธี เช่น อาหาร ดอกไม้ และเครื่องอุปกรณ์ดนตรีย่อมจะพิเศษกว่าพิธีทั่วไป หากสังเกตตามปฏิทินย่อมพบว่า มีพิธีพื้นบ้านมากมายที่ชาวทิเบตจะต้องปฏิบัติ เช่น พิธีเพาะปลุก พิธีเก็บเกี่ยว พิธีขอให้เกิดความสวัสดิผลและปลอดภัยแก่ไร่นาและสัตว์เลี้ยง และการขอให้เกิดฝนฟ้าอากาศดีต่อพืชพันธุ์ ปัจจุบันนี้จะพบว่าดินแดนของชาวทิเบตได้ประสบกับทุกข์ยาก ชาวพุทธทิเบตก็เริ่มมีการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเราจะพบได้จากการเผยแผ่พิธีกรรมของตนตามอินเตอร์เน็ตหรือวีดีโอคลิป นอกจากนี้ เราสามารถหาซื้อเสียงซีดีสวดมนต์ของชาวทิเบตได้แทบทุกแห่งหนของโลก

ลำพังเพียงการสังเกตการณ์พิธีกรรมของชาวทิเบต เราย่อมไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพิธีได้ แต่ทุกพิธีล้วนจัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ให้เกิดอานิสงส์ผลบุญ นำมาซึ่งความโชคดี และการได้มาซึ่งสิ่งที่ดีงามต่างๆ ผลที่ว่านี้ย่อมหมายความรวมถึงผลบุญที่เป็นโลกียะ (ความสุขทางโลก) และโลกุตระ (ความสุขทางธรรม) ด้วย   หากมองประโยชน์ที่สามารถมองเห็นได้ คือพิธีช่วยให้เกิดความกลมเกลียวต่อชุมชน ผลสำเร็จบางประการที่จะเกิดแค่แต่ละคน แต่เป้าหมายขั้นสูงส่งของการประกอบพิธีคือการให้ได้มาซึ่งสภาวะใหม่ที่ดีกว่าของจิตใจ เป็นจิตที่ปราศจากกิเลสตัณหาอันเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ แม้จะเป็นที่ยอมรับกันว่า การฝึกสมาธิเท่านั้นที่จะช่วยให้เกิดอานิสงส์อย่างยิ่งต่อจิตและขจัดสิ่งไม่ดีงามออกจากจิตได้ แต่รูปแบบอื่นของการสร้างสิ่งดีงามให้แก่ชีวิตมีอยู่มาก เช่นการฝึกให้ทาน ก็นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งของการเข้าถึงคำสอน อาจารย์ชาวพุทธทิเบตล้วนกล่าวว่า การสั่งสมบุญที่จะนำผู้ปฏิบัติไปสู่การรู้แจ้งได้นั้น คนผู้นั้นต้องมุ่งมั่นให้กระจ่างแจ้งในหลักการเกิดและดับของตัวตน (อัตตา) และการเกิดดับของปรากฏการณ์ต่าง ๆ (ปฏิจจสมุปบาท) ในความเป็นจริงขั้นปรมัตถ์ (ความจริงขั้นสูงสุด)  แล้ว ทำให้เราเข้าใจว่า ตัวผู้ทำบุญไม่มี การทำบุญก็ไม่มี ผลของการทำบุญก็ย่อมไม่มี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า การทำบุญก็ยังนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่มีความจำเป็น เพราะเป็นปัจจัยและเป็นขั้นบันไดนำพาผู้ปฏิบัติไปสู่ภพและภาวะที่ดีกว่าเดิม สิ่งสำคัญในการประกอบพิธีนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่า พิธีกรรมมีกระบวนการขั้นตอนอย่างไร แต่อยู่ที่ทัศนคติหรือสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นถูก) ที่เกิดขึ้นในจิตของเราเอง

แหล่งข้อมูล :       เรียบเรียงโดย Zoran Lazovic และ Jampa Sengmo

แปลเป็นภาษาไทยโดย อ.หอม พรมอ่อน

พิธีกรรม

๑.)        พิธีสวดมนต์ (Mönlam: มึนลัม)

พิธีมึนลัม คือ พิธีสวดมนต์ที่ยิ่งใหญ่ของทิเบต ซึ่งบางตำราก็ว่า ตรงกับวันที่ ๑-๑๕ ในเดือน ๒ ตามปฏิทินทิเบต (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ บัฏเสน, หน้า ๒๑๔) แต่บางตำราก็กล่าวว่า พิธีสวดมนต์นี้เริ่มจาก วันที่ ๓ หรือวันที่ ๔ ของปีใหม่ (ผู้แปล : สีมน, หน้า ๒๐๑) พิธีมึนลัมเป็นพิธีสักการะพระพุทธเจ้า ที่ทรงเอาชนะพญามารซึ่งยกกองทัพมาก่อกวนพระองค์ในระหว่างการทำสมาธิเพื่อการตรัสรู้ ในงานนี้ มีนักบวชต่างๆ ที่อยู่ใกล้เมืองลาซา รวมทั้งวัดใหญ่ ๓ แห่งของทิเบต คือ กานเด็น เดรปุง และเซรา มาร่วมประกอบพิธีเป็นจำนวนกว่า ๒๐,๐๐๐ รูป

การประกอบพิธีมึนลัมโดยทั่วไปจะเป็นการถวายพิธีบูชาและสวดมนต์ และในระหว่างพิธีมึนลัมมีการถวายเทียนไขให้วัดอีก ๑๐๐,๐๐๐ ดวง ในขณะที่ตามทางที่มาวัดก็มีการจุดไฟเป็นระยะตลอดทาง ซึ่งในพิธีมึนลัมนี้ พระสงฆ์จากวัดเดรปุงจะเป็นผู้จัดการพิธีมึนลัมทั้งหมด ทั้งพิธีสวด การดูแลความสงบ การต้อนรับ และการเลี้ยงดู และตลอดการจัดพิธีจะมีการเสิร์ฟน้ำชา ๓ รอบแก่นักบวชที่เข้าร่วมในพิธี

ในตอนกลางคืนจะเป็นการประกวดการประดับตกแต่งด้วยเนยย้อมสีเป็นรูปต่างๆ เช่น รูปปรมาจารย์สองขะปะ ฯลฯ หลังจากองค์ทะไลลามะเสด็จมาทอดพระเนตรแล้ว ฝูงชนจึงจะเข้มาชมงานประกวดดังกล่าวกัน

๒.)       พิธีพระศรีอาริยเมตตรัย

พิธีพระศรีอาริยเมตตรัยจะตรงกับวันที่ ๒๕ ของเดือนแรก (ปฏิทินทิเบต) ซึ่งปกติพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตตรัยประทับอยู่ในวัดโจกังซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของนครลาซา ขบวนแห่ในพิธีนี้จะแห่ไปรอบๆ ถนนบาร์กอร์ (Barkhor,  Bar = Middle, Khor = Circle) ซึ่งเป็นถนนที่อยู่รอบๆ วัดโจกัง ในขบวนแห่ พระสงฆ์จากวัดเมรุจะนำขบวนด้วยธงต่างๆ พร้อมเครื่องไทยทาน ประชาชนพากันเข้าแถวรอรับขบวนแห่รอบๆ ถนนบาร์กอร์ พร้อมกับจุดธูปถวายบูชา หลังจากขบวนผ่านไปแล้ว ชาวทิเบตจะมีการแข่งขันกันวิ่งแข่งกับม้า และแข่งขันมวยปล้ำ

๓.)       พิธีมหาบูชา

พิธีมหาบูชานี้ตรงกับวันที่ ๑๙ ของเดือนที่ ๒ มีพิธีมหาบูชาที่ยิ่งใหญ่พอๆ กับพิธีสวดมนต์ที่จัดขึ้น ณ วัดหลวงในนครลาซา เป็นการฉลองวันสวรรคตของมหาปัญจะ (Mahã Pandita)  หรือ              ทะไลลามะองค์ที่ ๕ (คือ สมเด็จพระงาวัง ลอบซังกยัตโส ซึ่งสวรรคตใน ค.ศ. ๑๖๒๘ และพิธีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ๑๖๘๔) 

พระสงฆ์จากวัดใหญ่ คือ กานเด็น ดรีบุง และเซร่าจะมาร่วมในพิธีนี้ ซึ่งรัฐบาลจะจัดถวายอาหารตลอดงานโดยเฉพาะในวันที่ ๒๕ ซึ่งเป็นวันสวรรคตนั้น จะมีการถวายข้าวของเครื่องใช้และอาหารแก่พระสงฆ์ เพื่อเป็นการทำบุญอย่างเต็มที่

ในระหว่างพิธีนี้ พระภิกษุ นักศึกษาจาก ๓ สถาบันดังกล่าวจะจัดพิธีตรรกวิภาษ (คำถามที่ใช้ในพิธีนี้จะเป็นแนวคำถามเกี่ยวกับปรัชญา ซึ่งคำถามที่ใช้มักจะเป็นคำถามของลัทธิ หรือศาสนา หรือนิกายอื่นๆ ตั้งคำถามให้พระภิกษุของทิเบตตอบ ซึ่งผู้ที่จะมีสิทธิเข้าสอบหรือตอบคำถามในพิธีนี้ต้องใช้เวลาเรียนกว่า ๒๕ ปี)  ภิกษุที่แสดงความสามารถสูงสุดจะได้รับตำแหน่งเป็นเกเช่

๔.)       พิธีวิสาขบูชา (ซากาดาวา)

วันที่ ๗ – ๑๕  ของเดือนสี่ของทุกปีเป็นพิธีซากาดาวา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่สุดสำหรับชาวพุทธทิเบต เนื่องจากเป็นเทศกาลที่รำลึกถึงการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

ในส่วนของพิธีกรรมตอนเช้า องค์ทะไลลามะเสด็จวัดโจกังเพื่อสวดมนต์และถวายบูชา   หลังจากองค์ทะไลลามะเสด็จถวายนมัสการที่วัดโจกังแล้ว ถัดมาก็จะเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการเข้านมัสการทั้งที่วัดโจกังและวัดราโมเช่ พระราชวังโปตาลาและพระราชวังนอร์บูลิงก้า (Park Garden) ซึ่งในช่วงเช้าจะเป็นพิธีกรรมทางศาสนา ขณะที่ตอนบ่ายจะเป็นการสังสรรค์รื่นเริง

๕.)       วันประสูติของทะไลลามะ

ทะไลลามะองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ ๑๔ ประสูติวันที่ ๕ เดือน ๕ ปัจจุบันเทียบตรงกับวันที่ ๖ กรกฎาคม เป็นวันที่ชาวทิเบตจัดพิธีกันโดยทั่วไป

เริ่มต้นพิธีด้วยการถวายธูปไม้สน และชักธงทั้งที่พระราชวังโปตาลาและนอร์บูลิงก้า สมาชิกภายในครอบครัวพากันเข้าเฝ้าถวายพระพร จากนั้น จึงเป็นคณะรัฐมนตรีและข้าราชการผู้ใหญ่ ครูผู้สอนขององค์ทะไลลามะถวายยาอายุวัฒนะเพื่อให้พระชนม์ยืนนาน

เจ้าหน้าที่ในสำนักพระราชวังจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวของทะไลลามะ ๒ วัน จากนั้น สมาชิกในครอบครัวของทะไลลามะก็จะเลี้ยงตอบแทนอีก ๒ วัน และในส่วนของประชาชนทั่วไปจะสวดมนต์ถวาย ซึ่งโดยทั่วไปของพิธีนี้เป็นวาระแห่งความรื่นเริง

 

๖.)        พิธีฉลองธรรมจักร

ในวันที่ ๔ เดือนหกของทุกปีเป็นพิธีฉลองการแสดงปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์แสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก นับเป็นนิมิตหมายสำคัญว่าพระธรรมจักรได้เคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว

ในวันนี้ ชาวทิเบตทำพิธีกันที่วัดโจกัง พระราชวังโปตาลาและสถานที่สำคัญอื่นๆ ประชาชนในลาซานิยมไปนมัสการวัดสำคัญในย่านที่ไปถึงได้ไม่ไกลนัก ขากลับจากวัดจะมีการเลี้ยงฉลองด้วยน้ำชา ขนมหวาน บางครอบครัวจัดหาอาหารไปปิกนิกกันด้วย ซึ่งโดยปกติทั่วไป ชาวทิเบตจะนิยมปิกนิกอยู่แล้ว แต่สำหรับการปิกนิกในช่วงพิธินี้จะเป็นการปิกนิกที่พิเศษ กล่าวคือ จะพิเศษทั้งจำนวนอาหารที่เพิ่มขึ้น ทั้งภาชนะที่ใช้ และจำนวนผู้เข้าร่วมในการรับประทานปิกนิกก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

๗.)       พิธีเข้าพรรษา (ซับซุกเซ็นโม)

พิธีเข้าพรรษาจะจัดในวัดสำคัญ ๓ แห่งคือ เซร่า ดรีบุง และกานเด็น ในเวลาของฤดูฝนตั้งแต่วันที่ ๑๕ ของเดือน ๖ ถึงวันที่ ๑๓ ของเดือน เป็นช่วงเวลาที่พระภิกษุจะไม่จาริกไปบนทุ่งนา  และจะตั้งใจทำวัตรปฏิบัติโดยเคร่งครัด โดยพิธีนี้จะสิ้นสุดในวันที่ ๑๓

๘.)       พิธีฉลองการเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดุสิตพระพุทธเจ้า

พิธีนี้ตรงกับพิธีตักบาตรเทโวของชาวไทยนั่นเอง ชาวทิเบตถือว่าพระพุทธองค์เสด็จจากดุสิตลงมาโลกมนุษย์วันที่ ๒๒ เดือน ๙ ของทุกปี จึงจัดพิธีในวันนั้น

ในขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อโปรดสอนมารดาในเรื่องอภิธรรมนั้น (วันนี้เป็นวันที่เทียบเป็นภาษาอังกฤษว่า  “Abhidhamma Day”) พระโมคคัลลานะทรงทำหน้าที่แทนพระองค์โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าพิมพิสารทรงล่วงรู้ว่าพระพุทธองค์ประทับบนสวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อสิ้น ๓ เดือน พระโมคคัลลานะก็เสด็จขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วทูลเชิญให้เสด็จกลับเมืองมนุษย์ พระพุทธองค์ทรงรับนิมนต์โดยให้พระโมคคัลลานะกลับลงมาแจ้งข่าวการเสด็จกลับของพระพุทธองค์ หลังจากนั้น บรรดาสาวกและสาวิกาพากันตระเตรียมสถานที่ พระอินทร์ก็ทรงมีรับสั่งให้พระวิษณุกรรมเนรมิตบันไดทอง บันไดลาปิสลาซุลีซึ่งเป็นหินสีน้ำเงิน และบันไดแก้วมณีทอดลงมาให้พระพุทธองค์เสด็จ

ในพิธีนี้ พระสาวกสาวิกานิยมสร้างสถูปมีบันได ๔ หรือ ๘ ขั้น เวียนขึ้นไป เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตของพระองค์ และวันนี้ ชาวทิเบตนิยมไปวัด จุดตะเกียงน้ำมันถวาย และจุด Juniper Twigs (ไม้พุ่มประเภทหนึ่งที่นำมาจุดเพื่อให้มีกลิ่นหอม) สวดมนต์ และอ่านคัมภีร์เป็นการทำบุญและใช้เวลาอย่างมีคุณค่า

๙.)        กานเด็นงาชอด (Ganden  Ngachod)

วันที่ ๒๕ เดือน ๑๐ เป็นพิธีฉลองวันมรณภาพของปรมาจารย์สองขะปะ (ค.ศ. ๑๓๕๗ – ค.ศ. ๑๔๑๙) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนิกายเกลุก

ในวันดังกล่าว ทั้งพระและฆราวาสพากันจุดตะเกียงน้ำมันถวายบูชา เพื่อรำลึกถึงปรมาจารย์สองขะปะตามประเพณีแล้ว องค์ทะไลลามะและอาจารย์ของพระองค์จะทำพิธีโดยเฉพาะในวัดภายในพระราชวังโปตาลา ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระอารยะโลเกศวร รวมทั้งพระศพของทะไลลามะองค์ก่อน

 

บุญพิธี (ทำบุญงานอวมงคล)

๑.)        พิธีศพ

พิธีศพในทิเบตมีต้นกำเนิดตามความเชื่อทางศาสนาและตำนานเก่าแก่ของทิเบตเป็นสำคัญ เมื่อครั้นศาสนาพุทธเผยแพร่เข้าไปในดินแดนทิเบตแล้ว พิธีศพก็มักดำเนินไปตามพระธรรมทางพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่

                                พิธีศพของชาวทิเบตมีหลายรูปแบบ พิธีแต่ละรูปแบบนี้ขึ้นอยู่กับสถานภาพทางการเงินและสถานภาพทางสังคมของผู้ตายหรือครอบครัวของผู้ตาย พิธีศพมีดังนี้

                ๑.            พิธีศพบนที่สูง มักใช้กันทั่วไป เพราะถือว่าวิญญาณจะไปสู่สวรรค์ พิธีศพรูปแบบนี้เริ่มทำโดยนำศพห่อหุ้มด้วยผ้าขาว และเก็บไว้ที่มุมห้องภายในบ้านเป็นเวลา ๓ – ๕ วัน และมีพระมาสวดเพื่อปล่อยวิญญาณออกจากร่าง บรรดาญาติมิตรและแขกที่มาร่วมงานก็จะนำขวดเบียร์ คะตะ (ผ้าพันคอสีขาว) เนยแผ่น ธูปหอม และในบางครั้งก็จะมีห่อเงินที่เขียนคำอาลัยไปมอบให้

                ครั้งถึงเวลาที่กำหนดนำศพออกจากบ้าน โดยปกติมักจะเริ่มพิธีก่อนรุ่งอรุณ ศพของผู้ตายจะต้องเปลื้องผ้าออก และจะทำการมัดตราสังใหม่ แล้วจึงใช้ผ้าห่มขนสัตว์ (พูละ) ห่อแทน จากนั้น สัปเหร่อก็จะแบกศพออกไปจากบ้านไปยังสถานที่ที่จะทำพิธีศพ ส่วนสมาชิกครอบครัวของคนตายก็จะเดินตามไป แต่เมื่อถึงเวลาชำระศพผู้ตายจริงๆ ก็จะมีเพียงคนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้แทนของครอบครัวเท่านั้น ที่จะอยู่ร่วมจนพิธีชำระศพเสร็จสิ้น สัปเหร่อจะนำศพของผู้ตายขึ้นไปบนภูเขาสูง จากนั้น สัปเหร่อจะวางศพลงบนลานหินที่ราบเรียบ ก่อกองไฟขึ้น โดยใช้กิ่งไม้สนเป็นเชื้อเพลิง แล้วโปรยเศษขนมซัมปะลงบนกองเพลิง ในขณะเดียวกัน สัปเหร่อก็จะเปลื้องผ้าคลุมศพออก แล้วผ่าศพด้วยมีดหรือขวาน ตัดออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วคลุกกับเศษผงขนมซัมปะ จากนั้น ก็รอให้ฝูงอีแร้ง กินซากศพ หลังจากอีแร้งอิ่มและบินจากไปแล้ว สัปเหร่อก็จะเข้าไปดูว่ามีเศษชิ้นส่วนศพส่วนใดบ้างที่เหลืออยู่ แล้วก็จะเผาอีกครั้งหนึ่งจนกลายเป็นขี้เถ้า จากนั้น ตักขี้เถ้าโปรยให้กระจัดกระจายไปในทิศต่างๆ

                ในการเผาศพนี้เขาถือว่า จะต้องไม่ให้มีสิ่งใดเหลืออยู่ หรือหากเหลือก็ให้เหลือเพียงแต่น้อย เพราะจะทำให้วิญญาณออกจากร่างไปได้อย่างอิสระ ไม่หวนกลับมาสู่ร่างเดิมได้อีก เมื่อพิธีเสร็จสิ้น ตัวแทนของครอบครัวผู้ตายก็จะนำอาหาร เบียร์ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า พร้อมทั้งค่าจ้างจ่ายให้กับสัปเหร่อเป็นอันจบสิ้น

                ๒.           พิธีการชำระศพในน้ำ

                พิธีการชำระศพในน้ำของทิเบตนี้จัดว่าเป็นพิธีศพที่ทุ่นค่าใช้จ่าย ในพิธีนี้ ศพของผู้ตายจะถูกนำไปยังบึง (Lake) จากนั้น สัปเหร่อก็จะผ่าหรือตัดศพออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ โยนลงไปในแม่น้ำ หรือหากศพนั้นเน่าเปื่อยมากก็ไม่ต้องผ่าศพ แต่จะห่อด้วยผ้าขาว แล้วโยนลงในน้ำทันที และหากศพนั้นเป็นเด็กทารกโดยส่วนมากจะนิยมใส่ในโถลายครามปิดด้วยผ้าหรือหนังสัตว์ แล้วโยนลงไปในแม่น้ำ

                ๓.            การฝังศพใต้ดิน

                พิธีฝังศพใต้ดิน แยกออกเป็นสำหรับบุคคล ๒ ประเภท ดังนี้

๑.  ใช้กับผู้ที่ตายด้วยโรคติดต่อร้ายแรงและใช้กับโจรหรืออาชญากรของสังคม  ชาวทิเบตเชื่อว่า การฝังศพใต้พื้นดินจะทำให้วิญญาณของผู้ตายดับสิ้นไม่มีวันกลับมาได้อีก และชาวทิเบตยังถือว่า พิธีการฝังศพใต้ดินนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงของผู้ตายและนำความเสื่อมเสียไปสู่วงศ์ตระกูลของผู้ตาย

๒.  ใช้สำหรับบุคคลสำคัญ ได้แก่ กษัตริย์ ซึ่งจะนำศพกษัตริย์ไปฝังบริเวณเชิงเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพเจ้าอารักษ์อยู่

                ๔.            การเผาศพ

                พิธีศพโดยการเผาศพจะใช้กับผู้ตายที่มีเกียรติ นักปราชญ์ พระผู้ทรงศีล (เกเช) และบรรดาขุนนางหรือคหบดีผู้มั่งคั่ง พิธีนี้ เริ่มทำโดยเผาศพของผู้ตาย แล้วนำกระดูกเก็บในสถูป หรือนำขี้เถ้าที่เหลือเก็บในสถูปหรือนำไปโปรยให้กระจายไปกับสายลมหรือไหลไปตามน้ำ แต่ส่วนใหญ่ จะนำขี้เถ้าเก็บไว้ในสถูปมากกว่า

                ๕.           การบรรจุศพในสถูปหรือเจดีย์

                พิธีศพประเภทนี้ใช้กับลามะชั้นสูง เช่น ทะไลลามะ เป็นต้น ที่ผ่านมา บุคคลที่เสียชีวิตและทำพิธีศพประเภทนี้ก็มีเพียงทะไลลามะและลามะผู้นำทางศาสนานิกายต่างๆ เมื่อลามะชั้นสูงหรือลามะที่มีเชื่อเสียงมรณภาพ ศพของท่านจะถูกล้างให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ แล้วปล่อยให้แห้ง จากนั้น ก็จะใช้น้ำหอมและเครื่องเทศถูไปตามร่างกาย แล้วนำไปบรรจุในสถูปหรือเจดีย์ ที่เรียกว่า “เชอร์เตน” แต่ในระยะหลัง มักใช้วิธีเผาเสียก่อน และจึงนำกระดูกหรือขี้เถ้าบรรจุใส่ภาชนะ แล้วนำไปเก็บไว้ในสถูปและเจดีย์อีกครั้งหนึ่ง

 

เทศกาล

๑.)           งานขึ้นปีใหม่ (Losar (โลซาร์) Lo = Year, Sar = New)

พิธีโลซาร์ในทิเบตจะถือวันแรกของเดือนแรกตามปฏิทินทิเบต และกลายเป็นวันที่รัฐบาลทิเบตประกาศให้เป็นวันหยุด

สองสัปดาห์ก่อนถึงปีใหม่จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือนขับไล่สิ่งอัปมงคล วิญญาณร้าย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะให้สิ่งที่ดีงามที่กำลังจะเข้ามาในช่วงเทศกาลปีใหม่

                                วันก่อนถึงพิธีโลซาร์ จัดหิ้งพระใหม่ และจัดเตรียมเครื่องบูชาที่จะถวายในวันปีใหม่ ได้แก่ ขนมปัง ขนมทอดน้ำมัน และเหล้าพื้นเมือง (เหล้าซางมีรสชาติคล้ายเบียร์)

ตอนเช้าตรู่ของวันขึ้นปีใหม่ แม่บ้านชาวทิเบตต้องไปรองน้ำถังแรก จุดบูชาแหล่งน้ำ ผูกผ้าขาวกับก๊อกน้ำ และถวายอาหารมื้อแรกแก่นาค ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ดูแลน้ำ เมื่อกลับมาบ้านก็จะต้มข้าวผสมเหล้าซาง ปลุกให้สมาชิกในบ้านทุกคนลุกขึ้นมารับประทานอาหารมื้อแรกพร้อมคำอวยพร  จากนั้น จะสวดมนต์และจุดธูปเทียนที่บูชาพร้อมถวายอาหาร ผู้ใหญ่ในบ้านจะนั่งเรียงกันตามลำดับอาวุโส แม่บ้านจะเสิร์ฟอาหารที่เตรียมเป็นพิเศษเฉพาะงานนี้ จากนั้น จึงจะออกไปสังสรรค์แลกเปลี่ยนคำอวยพรกับเพื่อนบ้าน 

ในวันปีใหม่นี้ ชาวทิเบตนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุด ข้าวของเครื่องใช้จะผูกด้วยผ้าขาว มีการตกแต่งลวดลายที่พื้นด้วยรูปสวัสดิกะ (รูปสวัสดิกะ (Swastika)  เป็นเครื่องหมายของความมีโชค) หรือรูปหอยสังข์ (รูปหอยสังข์ (Kata) เป็นสัญลักษณ์การเผยแพร่พระธรรม)

ในวันที่ ๒ ของพิธีโลซาร์ ฝ่ายรัฐบาลจะเป็นผู้จัดพิธี โดยจะมีพิธีการกราบและรับพรจากองค์ทะไลลามะ (เป็นระเบียบพิธีปฏิบัติในทุกงานที่เป็นทางการ) และในวันเดียวกันนี้ ก็มีการจัดงานรื่นเริงกันด้วย มีทั้งการเล่นไฟ ร้องเพลง เต้นรำ และในแต่ละบ้านจะมีการชักธงทั้งแนวตั้งและแนวนอนบนหลังคา นอกจากงานรื่นเริงแล้ว ยังมีการบูชาผีบ้านและเทพเจ้าต่างๆ (การบูชาจะเป็นการจุดธูปบูชา พร้อมเครื่องเซ่น ซึ่งก็คือ ชาดำ โดยก่อนอื่นจะบูชาผีบ้าน และขอพรให้มีความเจริญรุ่งเรือง จากนั้นจึงบูชาเทพเจ้าต่างๆในขณะทำพิธีจะหยิบแป้งซัมปา (Tsampa =  Barley Flour) อยู่ที่ปลายนิ้ว เมื่อสวดสรรเสริญเทพเจ้าแล้วจะดีดแป้งไปในอากาศ)

ในวันที่ ๓ ของพิธีโลซาร์ จะเป็นพิธีทางพุทธศาสนา ซึ่งพระสงฆ์จะเป็นผู้จัด มีการถวายเครื่องบูชาต่อเทพีปาดเด็นลาโม (เทพีที่ดูแลบ้านเมือง) ในตอนบ่ายจะเป็นการเสี่ยงทาย  (เป็นการยิงธนูโดยพระผู้ทรงศีล (เกเช่) เพื่อเป็นการทำนายถึงความสงบสุขและภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) ซึ่งเป็นงานภายในพระราชวังเท่านั้น ตอนเย็นจะเป็นงานฉลองใหญ่ที่รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อครบ ๓ วันถือว่างานฉลองปีใหม่สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ

                                สิ่งที่ถูกบูชาในเทศกาลปีใหม่มี ๓ ขั้น ได้แก่ ๑.) การอธิฐาน ทำบุญ โดยการให้จิตมุ่งมั่นต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อให้ได้ความสุขทางจิต (Real Happiness)  ๒.) การทำบุญถวายให้แก่เทพเทวดา เพื่อให้เกิดความมั่งคั่ง ความโชคดี  ๓.) การทำบุญถวายเทพผู้คุ้มครอง เพื่อความปลอดภัย หรือเพื่อปกป้องภัยอันตรายต่างๆ

 

                                เทศกาลและพิธีกรรมต่างๆ ของศาสนาพุทธในทิเบตที่ได้กล่าวถึงทั้งหมดนี้ เคยสืบทอดปฏิบัติกันในสมัยก่อน ค.ศ. ๑๙๕๙ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อทิเบตถูกยึดครองโดยประเทศจีน จึงทำให้ชาวทิเบตที่อยู่ในดินแดนทิเบต (ที่ถูกยึดครอง) ไม่สามารถปฏิบัติพิธีกรรมเหล่านี้ได้  แต่สำหรับชาวทิเบตที่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดียยังมีการถือปฏิบัติพิธีกรรมเหล่านี้กันตามปกติ

 

แหล่งข้อมูล :       ฉัตรสุมาลย์ กบิลลสิงห์ บัฏเสน. พระพุทธศาสนาแบบทิเบต. พิมพ์ครั้งแรก. ส่องสยาม. ๒๕๓๘.

                                ฉัตรสุมาลย์ กบิลลสิงห์ บัฏเสน (ผู้แปล). ทะไลลามะ : ลูกชายของฉัน. พิมพ์ครั้งแรก. แปลน พริ้นท์ติ้ง. ๒๕๔๕.

วรรธนะ มูลขำ. ร่องรอยและอิทธิพลของคติพุทธศาสนามหายานที่มีต่อความเชื่อและพิธีกรรมพื้นบ้าน  ในจังหวัดเชียงใหม่. ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๔๕

สีมน (ผู้แปล). ดวงตาแห่งทิเบต. กรุงเทพฯ: วิริยะ. ๒๕๔๖.

จากการสัมภาษณ์ Zoran Lazovic และแปลเป็นภาษาไทยโดย อ.หอม พรมอ่อน

 ดาวน์โหลดเอกสาร

หมายเหตุ :           สำหรับรายละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่แหล่งข้อมูลข้างต้น

อีแร้ง ตามความเชื่อของชาวทิเบตถือว่า อีแร้งเป็นสัตว์ชั้นสูงที่ทำให้วิญญาณของผู้ตายออกไปจากร่างได้โดยอิสระ และไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์เล็กๆ





back>>