|
การประชุมวิชาการนานาชาติ
เรื่อง “พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์”
เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา
จัดโดย
วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
วันที่ ๓-๕ สิงหาคม ๒๕๕๐
ณ ห้องประชุม น้ำทอง คุณวิศาล วิทยาลัยศาสนา มหาวิทยาลัยมหิดล
ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล นครปฐม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า
พระองค์ทรงรอบรู้ธรรมะอย่างลึกซึ้ง พร้อมทั้งทรงปฏิบัติตามธรรมะเหล่านั้นอย่างจริงจังและแน่วแน่จนเป็นที่ประจักษ์ทั่วไปว่าทรงมีทศพิษราชธรรมครบถ้วน
ในขณะเดียวกันก็ทรงมีพระทัยเป็นนักวิทยาศาสตร์
ทรงใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและเพื่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่ชีวิตในเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเกษตร การชลประทาน หรือการคมนาคม
โครงการพระราชดำริต่างๆ เช่น โครงการปรับปรุงคุณภาพดินด้วยการแกล้งดิน
โครงการรักษาหน้าดินด้วยการปลูกหญ้าแฝก และโครงการฝนหลวง
ล้วนแต่เป็นผลจากการนำความรู้ที่ทรงแสวงหาด้วยพระองค์เอง
และที่ได้ผ่านการตรวจสอบด้วยเหตุผลและการทดลองแล้วมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน
ชุมชน แผ่นดิน และประเทศชาติ อาจกล่าวได้ว่าโครงการต่างๆ
เหล่านี้เป็นการบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ในธรรมะในพุทธศาสนาที่มีความเมตตากรุณาเป็นแรงเหนี่ยวนำเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
จึงเป็นโครงการที่มีสัมฤทธิ์ผลเมื่อนำไปปฏิบัติ
วัตถุประสงค์
วิทยาลัยศาสนศึกษา
มหาวิทยาลัยมหิดล รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว
ดังนั้นในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา
วิทยาลัยจึงร่วมกับประชาชนทั่วประเทศเฉลิมฉลองปีมหามงคลนี้
ด้วยการจัดประชุมนานาชาติเรื่อง พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์
ขึ้นเพื่อให้พุทธศาสนิกชนคนไทยได้เรียนรู้จากวิทยากรที่ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยเฉพาะ
ในหัวข้อ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
(2) การค้นพบในวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาเรื่องความสุขและความทุกข์ของมนุษย์
และ (3) วิธีการบูรณาการความรู้จากวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาเข้าด้วยกันเพื่อสร้างความสุขให้แก่ชีวิตและความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชุมชนและประเทศชาติตามรอยพระยุคลบาท
การบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ในพุทธศาสนา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ในพุทธศาสนาเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
เพราะวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาไม่ได้อยู่กันคนละขั้วที่ไม่มีทางจะมาบรรจบกันได้
เช่นในกรณีของศาสนาอื่น แต่เป็นคู่มิตรที่เสริมแรงซึ่งกันและกันโดยเฉพาะในเรื่องการแสวงหาความจริงเพื่อช่วยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากความทุกข์และมีความสุขมากขึ้น
วิธีการที่ใช้ในการแสวงหานี้แตกต่างกันตามธรรมชาติของศาสตร์
ความจริงที่วิทยาศาสตร์สนใจแสวงหาเป็นความจริงทางกายภาพไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสุขหรือความทุกข์ของมนุษย์
ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงมุ่งศึกษาวัตถุมากกว่าสิ่งอื่นด้วยวิธีปรวิสัยที่ทำให้สามารถนำวัตถุมาแยกแยะและคิดคำนวณด้วยกฎแห่งเหตุผลและคณิตศาสตร์ได้
ในทางตรงข้ามความจริงที่พุทธศาสนาค้นหาเป็นความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจซึ่งเป็นส่วนที่ล้ำลึกและลี้ลับที่สุดของมนุษย์
มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่มีความสำคัญต่อความสุขหรือความทุกข์ของมนุษย์มากกว่าที่คาดคิด
วิธีที่พุทธศาสนาใช้ขุดลึกลงไปในจิตใจที่ไม่มีตัวตนนี้มีลักษณะเป็นอัตวิสัยที่สามารถเข้าถึงความจริงได้โดยปรีชาญาณของคนแต่ละคน
ถึงแม้ว่าความรู้และวิธีแสวงหาในวิทยาศาสตร์และศาสนามีลักษณะแตกต่างกันเช่นที่กล่าวมา
แต่ต่างก็เป็นความรู้ที่ผ่านขบวนการของการตรวจสอบด้วยเหตุผลและการทดลองมาแล้ว
การบูรณาการความรู้ในศาสตร์ทั้งสองที่มีธรรมชาติแตกต่างกันเข้าด้วยกันจึงจะช่วยให้เราเข้าใจความจริงได้ลึกซึ้งและสมบูรณ์ขึ้นจนสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สุขและตัวเราและสังคมได้มากขึ้น
หัวข้อการประชุม
ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาที่การประชุมครั้งนี้เน้นเป็นพิเศษเป็นเรื่องของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตและวิธีการนำความรู้ดังกล่าวมาสอดสานเข้าด้วยกันเพื่อจะได้สามารถสร้างความสุขที่แท้จริงให้เกิดขึ้นแก่ตัวเองได้
พร้อมทั้งมีสุขภาพจิตดี สามารถทำประโยชน์ให้แก่ตน
สังคม ประเทศชาติและโลกที่อยู่ได้มากขึ้น การสอดสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาเข้าด้วยกันดังกล่าว
เท่ากับการรวมความรู้ในทั้งสองศาสตร์มายังให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่มวลมนุษย์
และช่วยให้คนรุ่นใหม่ที่ห่างเหินจากพุทธศาสนาและหันไปยึดวิทยาศาสตร์เป็นสรณะแทนตระหนักถึงคุณค่าของพุทธธรรมมากขึ้น
โครงสร้างการประชุม
การประชุมแบ่งออกเป็น
3 วัน ทั้งสองวันแรกเป็นการนำเสนอความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ในพุทธศาสนาในเรื่อง
(1) ธรรมชาติของจิต (2) ความผิดปกติของจิตและวิธีการเยียวยารักษาและการสร้างสุขภาพให้เกิดขึ้นในจิต
วันที่สามเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อให้โอกาสผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมีประสบการณ์โดยตรงในการนำการเจริญสติและวิปัสสนามาประยุกต์ใช้บำบัดรักษาโรคสมาธิสั้น
การทำสมาธิให้แน่วแน่ การสร้างคุณธรรมของพรหมวิหารสี่และดุลยภาพทางอารมณ์เพื่อจิตจะได้บริสุทธิ์ผ่องใสและสุขสงบ
วิทยากร
ศาสตราจารย์ ดร. พระธรรมโกศาจารย์
อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
พระสงฆ์นักวิชาการพุทธศาสนามีงานเขียนในรูปแบบต่างๆ
ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์จำลอง ดิษยวณิช
ทั้งจิตแพทย์และนักปฏิบัติธรรม ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เป็นผู้บุกเบิกการบูรณาการคำสอนและการปฏิบัติในพุทธศาสนาเข้ากับความรู้ทางจิตเวชสมัยใหม่
สำหรับใช้เยียวยารักษาผู้ป่วย ผลงานวิจัยเกี่ยวกับการบูรณาการดังกล่าว
ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ดร.อลัน วอลเลซ
ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาเรื่องจิต เมืองซานตา-บาร์บารา
รัฐแคลิฟอเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นนักวิชาการและนักปฏิบัติชาวพุทธที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ
โดยเฉพาะในเรื่องพุทธศาสนานิกาย ธิเบต และเป็นผู้หนึ่งที่บุกเบิกการศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์
และการนำการปฏิบัติสมาธิ-วิปัสสนาไปใช้สร้างความสุขให้แก่ชีวิตและการบำบัดรักษาทางจิต
เป็นผู้จัดทำโครงการปลีกวิเวกเพื่อปฏิบัติธรรมที่รู้จักกันดีในประเทศสหรัฐอเมริกา
เคยทำหน้าที่เป็นล่ามให้แก่องค์ดาไล ลามะหลายครั้ง
เขียนหนังสืออธิบายปรัชญา จิตวิทยาและการปฏิบัติในพุทธศาสนา
(นิกายธิเบต) และการบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ในพุทธศาสนาไว้หลายเล่มเช่น
เลือกเผชิญหน้ากับความจริง (Choosing Reality)
และพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ (Buddhism & Science)
ดร.เดวิท เพรสตี
นักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาโมเลกุลและเซลล์
มหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย วิทยาเขตเบอร์คลี่ย์ สหรัฐอเมริกา
งานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติเป็นเรื่องเกี่ยวกับขบวนการทางเคมีในสมองและความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะทางกายภาพและทางจิตใจ
ดร.แดเนียล ซีเกิล
แพทย์-นักวิชาการทางจิตเวช ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนามนุษย์
มหาวิทยาลัย แคลิฟอเนีย ลอสแองเจลลิส สหรัฐอเมริกา
และเป็นนักจิตบำบัดโดยอาชีพ งานวิจัยส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสาท-ชีววิทยา
และธรรมชาติของสมองและจิต หนังสือที่มีผู้กล่าวถึงมากที่สุด
คือเรื่อง จิตวิวัฒน์: ประสาท-ชีววิทยาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
(The Developing Mind: Towards a Neurobiology
of Interpersonal Experience)
ดร.เซานา ซาปิโร
อาจารย์-นักวิชาการทางจิตวิทยาคลินิก มหาวิทยาลัยซานตาคลารา
แคลิฟอเนีย สหรัฐอเมริกา งานวิจัยเน้นที่การนำการเจริญสติในพุทธศาสนามาใช้ในการเยียวยารักษาจิตใจผู้ป่วย
งานวิจัยเหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์แพร่หลายในวารสารวิชาการนานาชาติ
ดร.พอล ฟุลตัน
แพทย์และผู้อำนวยการสถาบันจิตภาวนา และจิตบำบัด
และศูนย์ศึกษาพุทธศาสนาในรัฐแมซซา- จูเซ็ทท์ สหรัฐอเมริกา
งานวิจัยมุ่งศึกษาจิตวิทยาของจิตภาวนามากว่าเรื่องอื่น
หนังสือทีได้รับการยกย่องมากคือ การเจริญสติและจิตบำบัด
(Mindfulness and Psychotherapy)
|