ปรัชญากับความอยากรู้อยากเห็นเมื่อได้ยินหรืออ่านพบคำว่า “ปรัชญา” คำถามแรกที่เกิดขึ้นคือ ปรัชญาคืออะไร? การตั้งคำถามนี้เป็นเรื่องง่าย แต่เป็นเรื่องยากที่จะตอบให้ถูกต้อง แม้แต่นักปรัชญาเองก็ตอบคำถามนี้แตกต่างกัน เช่นบางคนกล่าวว่าปรัชญาเป็นการมองดูโลกและชีวิตแบบลึกซึ้ง ในขณะที่หลายคนอธิบายว่า ปรัชญาเป็นวิธีการคิดและแสวงหาความรู้โดยใช้เหตุผล นอกจากนั้นยังมีนักปรัชญาจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่าปรัชญาเป็นวิธีการวิเคราะห์ความรู้และภาษาในศาสตร์ต่างๆ ให้กระจ่างแจ้งเพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงแม้ความคิดเห็นในเรื่องความหมายของ “ปรัชญา” แตกต่างกัน แต่นักปรัชญาทุกคนก็ยอมรับว่าธรรมชาติของปรัชญาคือการใช้เหตุผลวิเคราะห์ วิพากษ์ และสังเคราะห์ให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ความอยากรู้อยากเห็นเกิดขึ้นเพราะมนุษย์สามารถตั้งคำถาม “ทำไม?” ได้ เนื่องจากเป็นสัตว์โลกประเภทเดียวที่มีเหตุผล ซึ่งทำให้อยากรู้อยากเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เป็นปริศนาให้คิด ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นล้วนแต่น่าฉงนสนเท่ห์ด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตมนุษย์เองก็เป็นสิ่งน่ารู้น่าเห็นไม่น้อยกว่าโลกและจักรวาล ความอยากรู้อยากเห็น ความอยากหาคำตอบในเรื่องต่างๆ ที่สงสัยไม่เข้าใจ เป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้มนุษย์ไม่ยอมอยู่เฉยมุ่งแสวงหาความรู้ ตราบใดที่มนุษย์ไม่ได้ความรู้ที่ต้องการ จิตที่อยากรู้อยากเห็นก็จะไม่มีวันมีสงบและเป็นสุข โดยเหตุที่ความรู้เป็นสิ่งไม่มีขอบเขตจำกัดและจับต้องไม่ได้ ดังนั้นมนุษย์จึงต้องแสวงหาความรู้สืบต่อกันไปเรื่อยๆ โดยไม่สิ้นสุด นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องแลกกับการเป็นสัตว์โลกที่มีเหตุผล มนุษย์อาจมีร่างกายเล็กกว่าหรือมีพลังน้อยกว่าสัตว์ใหญ่ เช่นช้าง แต่มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดเห็น ในเรื่องเรี่ยวแรงแล้วมนุษย์อาจไม่แข็งแกร่งเช่นต้นอ้อที่ต้องโอนเอนไปมาตามแรงลม แต่มนุษย์ก็เป็นต้นอ้อที่คิด ปรัชญาและนักปรัชญา ปรัชญาเกิดจากการที่มนุษย์มีความสามารถที่จะคิดหรือใช้เหตุผล ในนัยนี้ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เราทุกคนเป็นนักปรัชญาในความหมายทั่วไปได้ ถ้าหากคิดวิเคราะห์ และวิพากษ์สิ่งต่างๆที่พบเห็น และใฝ่หาความรู้ใส่ตัวให้เป็นคนฉลาด ในอารยธรรมตะวันตก นักปรัชญาแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะเป็นคนรักความรู้เป็นชีวิตจิตใจและมีความสุขจากการแสวงหาความรู้มากกว่าอย่างอื่น การมุ่งมั่นหาความรู้ ทำให้นักปรัชญามีจิตใจวิพากษ์ และไม่ยอมรับหรือทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล เห็นจะเป็นด้วยเหตุนี้บรรดาผู้นิยมมีชีวิตตามกระแสสังคม และอยู่กับความทึกทักหรือความไม่รู้ จึงไม่ต้องการคบค้าสมาคมกับนักปรัชญาที่ชอบตั้งคำถามต่างๆให้ตนต้องคิดและไม่สบายใจตามมา นักปรัชญากรีกชื่อโสเครตีสเป็นตัวอย่างของนักปรัชญาที่กล่าวมา คนทั่วไปพยายามหลีกหนีการพบปะกับโสเครตีสที่พยายามปลุกตนให้ตื่นจากการหลับใหลในความไม่รู้ ในขณะเดียวกันการวิเคราะห์ วิพากษ์สังคมของนักปรัชญาผู้นี้ทำให้นักการเมืองถือว่าโสเครตีสเป็นอันตรายต่อความปลอดภัย และความมั่นคงของบ้านเมือง โสเครตีสจึงมีสมญาว่าเป็น “ตัวเหลือบ” ของสังคมเอเธนส์ในสมัยนั้น เพราะชอบไปรบกวนคนในสังคมไม่ให้พอใจในชีวิตที่ปรารถนาการวิพากษ์ตัวเอง การดำเนินคดีโสเครตีสเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งของมนุษย์ชาติ ข้อกล่าวหาที่โจทย์ฟ้องศาลมีหลายข้อด้วยกันรวมทั้งการที่โสเครตีสเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและเสถียรภาพของสังคมด้วยการสอนคนให้คิดและตั้งคำถามเกี่ยวกับระบอบการปกครอง กฎหมาย บ้านเมือง รัฐบาล และจารีตประเพณี การดำเนินคดีจบลงด้วยการพิพากษาให้ประหารชีวิตโสเครตีสผู้ไม่ยอมรับผิดและขอความกรุณาจากศาล แต่กลับประกาศยืนยันที่จะทำตามอุดมคติของตนต่อไปโดยการสอนคนให้คิดและวิพากษ์ระบอบการปกครองและจารีตประเพณีต่างๆ เพื่อให้สิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นในเอเธนส์ ความตายของโสเครตีสไม่ใช่เป็นจุดจบของปรัชญา แต่เป็นการเริ่มต้นของพัฒนาการที่ติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ นักปรัชญาเช่นโสเครตีสมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยและมีส่วนช่วยให้ชีวิตมนุษย์เจริญงอกงามและสังคมมีพัฒนาการต่างๆเกิดขึ้น นักปรัชญาที่รู้จักกันทั่วไป และเป็นเหมือนดาวประกายพฤกของปัญญามนุษย์มีหลายคนรวมทั้ง เพลโต และอริสโตเติลในกรีกสมัยโบราณ พระพุทธเจ้าโคตะมะในอินเดีย เล่าจื๊อและขงจื๊อในจีน ความคิดของนักปรัชญาเหล่านี้มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและปัญญา ความคิดของคนในยุคสมัยต่างๆจนถึงปัจจุบัน ปรัชญากับวิทยาศาสตร์ เป็นที่น่าสังเกตว่าในสมัยที่ศาสตร์ต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้น ปรัชญาเป็นศาสตร์เดียวที่ศึกษาเกี่ยวกับโลกและชีวิต แม้แต่วิทยาศาสตร์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาเช่นกัน ก่อนสมัยกาลิเลโอความรู้ประเภทหนึ่งที่นักปรัชญาแสวงหา เป็นเรื่องของปรากฏการณ์ธรรมชาติและกฎธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง ความสำคัญอย่างหนึ่งของกาลิเลโออยู่ที่เป็นคนแยกวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญามาเป็นศาสตร์เอกเทศโดยกำหนดให้การทดลองเป็นส่วนสำคัญของการแสวงหาความรู้ นับแต่นั้นมาวิธีการแสวงหาความรู้มีพัฒนาการมาเป็นลำดับจนเป็น “วิธีการทางวิทยาศาสตร์” ประกอบด้วยการสังเกต การตั้งสมมุติฐาน การคำนวณ และการทดลองและมีวัตถุประสงค์ที่จะได้ความรู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนมาตอบสนองความอยากรู้อยากเห็น ถึงแม้ว่าปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็มีเปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้สูงกว่าความรู้จากศาสตร์อื่น เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ผ่านขบวนการทดสอบทุกขั้นตอนมาแล้วเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเป็นความรู้ที่มีคนเชื่อถือและไว้วางใจมากที่สุดในเวลานี้ แม้แต่ นักปรัชญาเองก็ยอมรับว่าคำตอบทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโลกมีเหตุผลและประจักษ์พยานชัดแจ้งกว่าทฤษฎีทางปรัชญา และยุติบทบาทของคนในการเป็นผู้ “แสวงหาความรู้” เกี่ยวกับโลกและหันมาสนใจปัญหาเกี่ยวกับชีวิตที่ยังไม่มีศาสตร์ใดให้คำตอบที่แน่นอนและชัดเจนได้ นอกจากนั้นนักปรัชญายังสนใจที่จะวิเคราะห์และวิพากษ์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์ต่างๆ เพื่อให้มีความชัดเจนทางเหตุผลมากขึ้น และเพื่อบูรณาการความรู้จากศาสตร์ต่างๆ ให้เป็นเอกภาพเดียวกันถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์และปรัชญาแยกออกจากกันออกเป็นสองศาสตร์เอกเทศ แต่ในวงการศึกษาตะวันตกระดับอุดมศึกษานิยม เรียกปริญญาบัตรของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ว่า ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Philosophy) หรือ Ph.D (มาจากภาษาละติน Philosophiae Doctoris) อยู่เป็นเวลานาน และมาเปลี่ยนชื่อเป็นวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Science หรือ Dsc.) ไม่กี่สิบปีเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง อย่างไรก็ตามมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเยล ในประเทศสหรัฐอเมริกายังคงนิยมใช้ชื่อเดิมของปริญญาบัตรอยู่ ปรัชญากับศาสนา คำถามอีกคำถามหนึ่งที่เรามักมีผู้ถามคือ คำถามที่ว่าปรัชญาและศาสนามีความสัมพันธ์กันอย่างไร? บางคนเข้าใจว่าศาสตร์ทั้งสองแยกออกจากกันไม่ได้ จึงชอบกล่าวถึงปรัชญาและศาสนาควบคู่กันไป บางครั้งก็ถึงกับใช้เป็นคำพ้องของกันและกัน จากการศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนาและประวัติศาสตร์ปรัชญา เราพบว่าศาสนาเกิดก่อนปรัชญา และมีแหล่งที่มาไม่เหมือนกัน เช่นศาสนาเกิดจากความกลัวและเป็นเรื่องของจิต-วิญญาณ แต่ปรัชญาเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นและเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลหาความจริง ดังนั้นศาสนาและปรัชญาต่างก็มีเอกลักษณ์ประจำตัวคนละอย่าง ในประเทศกรีซโบราณที่เป็นบ่อเกิดของ อารยธรรมตะวันตก ปรัชญาเกิดขึ้นเมื่อปัญญาชนไม่พอใจคำอธิบายของศาสนาเกี่ยวกับโลกและชีวิตโดยการอ้างอิงอำนาจของเทพเจ้าหรือพลังเหนือธรรมชาติและพยายามหาคำอธิบายใหม่ที่มีเหตุมีผล พัฒนาการของปรัชญาเริ่มจากงานของโสเครตีสและขึ้นสู่ระดับสูงสุดในสมัยของเพลโตและอริสโตเติล พัฒนาการของปรัชญาในสมัยต่อมาทำให้ปรัชญาเผชิญหน้ากับศาสนาคริสต์ที่มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และโดยเหตุที่ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งศรัทธาและปรัชญาเป็นเรื่องของการใช้เหตุผล วิเคราะห์และวิพากษ์ ดังนั้นในระยะแรกคริสตศาสนาจึงมองดูปรัชญาในแง่ลบ บางครั้งถึงกับถือว่าปรัชญาเป็นศัตรูของศาสนาคริสต์ แต่ไม่ว่าศาสนาจะมีทัศนคติอย่างไรต่อปรัชญา ความนิยมศึกษาปรัชญาก็ไม่ได้เสื่อมไปในสมัยกลางของยุโรปนักวิชาการศาสนาคริสต์แก้ปัญหาการเผชิญหน้าระหว่างปรัชญาและศาสนาด้วยการนำปรัชญาของเพลโตและอริสโตเติลซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของปัญญาชนในสมัยนั้น มาบูรณาการเข้ากับคำสอนในศาสนาคริสต์ เพื่อให้ศาสนานี้มีเหตุผลสนับสนุนศรัทธา การใช้ปรัชญาอธิบายคำสอนศาสนาในกรอบของศรัทธา มีผลให้ปรัชญาและศาสนาผสมกลมกลืนเข้าด้วยกัน และการศึกษาศาสนาคริสต์เชิงปรัชญาเป็นสิ่งเป็นไปได้ นักศาสนา-นักปรัชญาชาวคริสเตียนที่ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จและเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นทำตามต่อมา คือเซนท์ออกัสติน และเซนท์ทอมมัส อะไควนัส การใช้เหตุผล (ปรัชญา)ในกรอบของศรัทธา ทำให้นักศาสนาสามารถพิสูจน์ด้วยเหตุผลได้ว่าพระเจ้าของศาสนาคริสต์นั้นมีอยู่จริง เพื่อสนับสนุนความเชื่อเรื่องพระเจ้าของชาวคริสเตียนและเพื่อดึงดูดปัญญาชนให้หันมาหาศาสนาคริสต์ให้มากขึ้น ปรัชญาเข้าไปเกี่ยวกับกับศาสนาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนักปรัชญาสนใจวิเคราะห์และวิพากษ์ศาสนาในมุมมองของเหตุผลเพื่อให้ศาสนิกชนมองเห็น “เหตุผล” ที่อยู่ในคำสอนทางศาสนาและคนทั่วไปอาจมองไม่เห็น และเพื่อนำคำสอนต่างๆ มาร้อยรัดเข้าด้วยกันให้เป็นระบบความคิดเพื่อประโยชน์ของการศึกษาหาความรู้ การทำหน้าที่นี้ ทำให้ปรัชญาช่วยให้ศรัทธาทางศาสนามีเหตุผลมากขึ้น ส่วนประโยชน์ตอบแทนที่ปรัชญาได้รับจากการไปเกี่ยวข้องกับศาสนา คือการเพิ่มเนื้อหาสาระของปรัชญาให้มีมิติทางศาสนาหรือทางจิต-วิญญาณของมนุษย์มากขึ้น ปรัชญากับพุทธศาสนา ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของพุทธศาสนาคือ เป็นทั้งศาสนาและปรัชญา เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นนักคิดและนักปฏิบัติ ในฐานะเป็นนักคิด พระองค์ทรงสร้าง “ปรัชญาแห่งทางสายกลาง” ในการแสวงหาความรู้และในการพ้นทุกข์ และ “ปรัชญาแห่งเสรีภาพ” เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากอำนาจต่างๆ ทั้งภายในตัวและนอกตัวมนุษย์จะได้มีเสรีภาพสมบูรณ์แบบ และความสุขสูงสุด ปรัชญาแห่งมนุษยนิยม ส่งเสริมมนุษย์ให้มั่นใจในศักยภาพของตนที่จะช่วยตัวเองให้พ้นทุกข์และ มีความสุขที่แท้จริงได้ด้วยการกระทำของตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจนอกตัว “ปรัชญาแห่ง สันติสุข” เพื่อให้มนุษย์มีจิตใจเปิดกว้างในเรื่องศาสนาและความจริง ไม่ยึดติดกับความคิดเห็นและความเชื่อของคนเป็นสำคัญพร้อมทั้งมีความรักความเอื้ออาทรต่อกัน นอกจากนั้นยังทรงเน้นให้ ชาวพุทธให้เหตุผลและประสบการณ์ทดสอบพระธรรมด้วยตัวเองให้เห็นความจริงก่อนที่จะยอมรับและปฏิบัติตาม พระพุทธองค์ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดนับถือศาสนาพุทธด้วย “ศรัทธา” เท่านั้น เพราะความเชื่อศาสนาที่มีแต่ศรัทธาอย่างเดียวย่อมนำอันตรายมาสู่ศาสนิกชนและสังคมได้ง่าย เนื่องจาก “ศรัทธา” และ “ความงมงาย” มักจะอยู่ด้วยกัน ในฐานะที่เป็นผู้นำทางศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีปฏิบัติต่างๆ ที่จะช่วยให้คนพ้นทุกข์ประเภทต่างๆ จนสามารถมีความสุขสูงสุดไม่มีความทุกข์เจือปนอยู่เลยได้ การปฏิบัติที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตามมรรค ๘ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ พุทธปรัชญาและพุทธศาสนาเป็นเหมือนกิ่งก้านและลำต้นของต้นไม้เดียวกัน การตรัสรู้ที่เป็นปัญญารู้แจ้งของพระพุทธเจ้าเป็นผลของการคิดและการปฏิบัติของพระองค์ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานแสนนาน การตรัสรู้เป็นรากแก้วของตันไม้ ในขณะที่พุทธศาสนาเป็นลำต้นและ พุทธปรัชญาเป็นกิ่งก้าน ทั้งลำต้นและกิ่งก้านต้องอยู่ด้วยกัน ต้นไม้จึงจะเจริญเติบโตมีใบดอกและผลตามมา “ความรู้” หรือ “ความเข้าใจ” เป็นหัวใจของพุทธปรัชญา เช่นเดียวกับ “การปฏิบัติ” เป็นหัวใจของพุทธศาสนา “ความรู้” “ความเข้าใจ” ทำให้ชาวพุทธซาบซึ้งในพระปัญญาธิคุณและ พระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงนำความจริงที่ทรงรู้แจ้งมาเผยแพร่ในรูปของพระธรรม เพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก และ “การปฏิบัติ” ช่วยให้ชาวพุทธได้รับประโยชน์เต็มที่จากพุทธศาสนาเหมือนกับลิ้นที่ได้ลิ้มรสอาหาร เราอาจเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างพุทธปรัชญาและ พุทธศาสนาได้กับแผนที่และการเดินทางขึ้นภูเขา พุทธปรัชญาเป็นแผนที่ของทางขึ้นภูเขาและบริเวณรอบภูเขาที่เราต้องการปีนให้ถึงยอด พุทธศาสนาหรือการปฏิบัติเป็นเหมือนการออกเดินทาง (หลังจากได้ศึกษาแผนที่อย่างละเอียด) ไปสู่ยอดเขา การเดินทางอาจช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เดินทาง ชาวพุทธที่ต้องการบรรลุเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาจึงควรศึกษาพุทธปรัชญาเพื่อนำมาสร้างปรัชญาชีวิตของตนสำหรับกำหนดเป้าหมายชีวิต และการดำเนินชีวิตให้มีคุณค่าสูงสุด พร้อมทั้งปฏิบัติตามปรัชญาความคิดนั้น วิชาปรัชญา วิชาปรัชญาเป็นวิชาที่ศึกษาระบบความคิดของนักปรัชญาในเรื่องต่างๆเกี่ยวกับชีวิต เช่น ความสุข ความทุกข์ ความดี ความงาม ความจริง วิชาปรัชญาได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศเมื่อประมาณ ๕๐ ปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ผู้ก่อตั้งและคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในสมัยนั้นเป็นผู้นำมาบรรจุในหลักสูตรการศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ และส่งอาจารย์ของคณะศิลปศาสตร์ คืออาจารย์พินิจ รัตนกุล ไปศึกษาวิชาปรัชญาโดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นวิชาปรัชญาก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปัจจุบันนักศึกษาสามารถศึกษาวิชาปรัชญาได้ในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วไป วิธีเรียนวิชาปรัชญา การเรียนวิชาปรัชญาเชิงปรัชญาหรือให้สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชาปรัชญาไม่ใช่การจดจำความคิดของนักปรัชญาแต่ละคนหรือการนำความคิดดังกล่าวมาตอบคำถามต่างๆ เกี่ยวกับชีวิต ถึงแม้ว่าวิชาปรัชญาจะมีระบบความคิดเกี่ยวกับชีวิตหลายระบบ แต่วิชาปรัชญาก็ไม่ได้มุ่งที่จะให้คำตอบสำเร็จรูปเกี่ยวกับชีวิต วัตถุประสงค์สำคัญที่สุดของวิชาปรัชญา คือการจุดประกายไฟให้เกิดขึ้นในความคิดของผู้ศึกษา และการกระตุ้นให้ผู้ศึกษาแสวงหาคำตอบเรื่องชีวิตด้วยสติปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยการจดจำจากผู้ใดหรือจากหนังสือปรัชญา หรืออีกนัยหนึ่ง การเรียนวิชาปรัชญาไม่ใช่การหาคำตอบ (สำเร็จรูป) ของคำถามเกี่ยวกับชีวิต แต่เป็นการเรียนรู้วิธีการใช้เหตุผลและแนวทางแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิตให้ตนเอง วิธีการศึกษาวิชาปรัชญาให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด คือการศึกษาระบบความคิดของนักปรัชญาด้วยเหตุผลเพื่อสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นในตัวผู้ศึกษาจะได้มองเห็นหนทางหรือแนวทางที่จะได้ความรู้หรือคำตอบที่ต้องการ การสอนวิชาปรัชญาที่วิทยาลัยศาสนศึกษา การเรียนการสอนที่วิทยาลัยศาสนศึกษาเน้นการนำปรัชญาและศาสนามาเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นสมกับเป็นชีวิตของมนุษย์ สัตว์โลกที่ใจสูง ปรัชญาที่สอนที่วิทยาลัย ศาสนศึกษามีทั้งที่เป็นศาสตร์หรือองค์ความรู้และที่เป็นวิธีการคิดหรือการใช้เหตุผล การสอนปรัชญาในสองรูปแบบมีวัตถุประสงค์ร่วมกันที่จะช่วยให้นักศึกษาพัฒนาตนให้เป็นคนคิดเป็น มีเหตุมีผล มีจิตใจวิพากษ์ และเปิดกว้างในเรื่องความจริง นอกจากการเรียนในชั้น วิทยาลัยยังส่งเสริมนักศึกษาให้คิดและใช้เหตุผลเชิงวิพากษ์ในชีวิตประจำวันในทุกเรื่องที่เป็นไปได้เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ การดูทีวี การเรียนหนังสือ การคบเพื่อนหรือการจัดจ่ายใช้สอย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าจะทำอะไร ควรคิดก่อนทำ เช่นถามตัวเองว่า ทำไมหรือเหตุใด จึงต้องทำเช่นนั้น? เหตุผลที่ทำนั้นมีน้ำหนักดีพอไหม? เลือกทำสิ่งอื่นไม่ได้หรือ? การสอนให้คิดก่อนทำมีความประสงค์ที่จะให้นักศึกษามีเหตุผลในการตัดสินใจ เพื่อจะได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง ถ้าหากนักศึกษาทำเช่นนี้วันแล้ววันเล่าจนเป็นความเคยชินหรือนิสัยแล้ว ทุกครั้งที่จะตัดสินใจ คำถาม “ทำไม” จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และการทำตามอารมณ์ความรู้สึกก็ดี หรือการทำเช่นการไม่มีความคิดก็ดี หรือการทำตามสัญชาติญาณเยี่ยงสัตว์ก็ดีจะไม่เกิดขึ้น เพราะจะถูกควบคุมด้วยปัญญาในรูปของเหตุผล การให้นักศึกษามีโอกาสได้พัฒนาตนให้รู้จักคิดเชิงวิพากษ์นี้สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชาปรัชญาที่ต้องการให้มนุษย์มีอิสระเสรี พ้นจากการหลอกลวงตัวเองด้วยความคิด (เหตุผล) หรือความเชื่อ และความรู้สึก และจากการถูกผู้อื่นหรือข้อมูลต่างๆ ในสื่อมวลชนชักจูงให้คล้อยตาม การคิดหรือการใช้เหตุผลเชิงวิพากษ์เป็นพื้นฐานของศักดิ์ศรีของมนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่คิด
|