| พระอวโลกิเตศวร
หรือพระแม่กวนอิมคือใคร
พระอวโลกิเตศวรในฐานะเป็นพระธยานิโพธิสัตว์
องค์สำคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ที่มีผู้เคารพศรัทธามากที่สุด
และเป็นเสมือนปุคคลาธิษฐานแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง
เรื่องราวของพระอวโลกิเตศวรปรากฏอยู่ทั่วไปในคัมภีร์สันสกฤตของมหายาน
อาทิ ปฺรชฺญาปารมิตาสูตฺร, สทฺธรฺมปุณฑรีกสูตฺร
และการณฺฑวยูหสูตฺร
คำว่า
อวโลกิเตศวร ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายนัยด้วยกัน
แต่โดยรูปศัพท์แล้ว คำว่าอวโลกิเตศวรมาจากคำสันสกฤตสองคำคือ
อวโลกิต กับ อิศวร แปลได้ว่าผู้เป็นใหญ่ที่เฝ้ามองจากเบื้องบน
หรือพระผู้ทัศนาดูโลก ซึ่งหมายถึงเฝ้าดูแลสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์นั่นเอง,
ซิมเมอร์ นักวิชาการชาวเยอรมันอธิบายว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ทรงเป็นสมันตมุข
คือ ปรากฏพระพักตร์อยู่ทุกทิศอาจแลเห็นทั้งหมด
ทรงเป็นผู้ที่สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
คืออาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงยับยั้งไว้เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์
นอกจากนี้นักปราชญ์พุทธศาสนาบางท่านยังได้เสนอความเห็นว่า
คำว่า อิศวร นั้น เป็นเสมือนตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ
จึงถือได้ว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์เดียวที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม
ในขณะที่พระโพธิสัตว์พระองค์อื่นหามีไม่ อันแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญยิ่งของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้
พุทธศาสนิกชนชาวจีนจะรู้จักพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในพระนามว่า
กวนซีอิม หรือ กวนอิม ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าอวโลกิเตศวรในภาษาสันสกฤต
คือผู้เพ่งสดับเสียงแห่งโลก แต่โดยทั่วไปแล้วมักให้อรรถาธิบายเป็นใจความว่าหมายถึง
พระผู้สดับฟังเสียงคร่ำครวญของสัตว์โลก (ที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์)
คำว่ากวนซีอิมนี้พระกุมารชีวะชาวเอเชียกลางผู้ไปเผยแผ่พระศาสนาในจีนเป็นผู้แปลขึ้น
ต่อมาตัดออกเหลือเพียงกวนอิมเท่านั้น เนื่องจากคำว่าซีไปพ้องกับพระนามของ
จักรพรรดิถังไท่จง หรือ หลีซีหมิง นั่นเอง
ประวัติความเป็นมาของพระอวโลกิเตศวรในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน
พระไตรปิฎกของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่มีปรากฏเรื่องราวหรือแม้แต่พระนามของพระอวโลกิเตศวรอยู่เลย
ทว่าในส่วนของนิกายมหายานแล้ว พระอวโลกิเตศวรมีบทบาทปรากฏอยู่มากในพระสูตรสำคัญ
ๆ และยังมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรมหายานว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกยังได้เคยตรัสสนทนาธรรมกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้อยู่บ่อยครั้งทีเดียว
ในพุทธศาสนามหายานยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่าเป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า
และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนาและหมุนธรรมจักรต่อไป
การอุบัติของพระอวโลกิเตศวรนี้สันนิษฐานว่ามีขึ้นภายหลังการเกิดนิกายมหายานขึ้นแล้วในราวพุทธศตวรรษที่
๖-๗ ภายหลังพุทธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากวรรณคดีสันสกฤตยุคต้น
ๆ ของมหายานอย่าง ชาดกมาลา ทิวยาวทาน หรือลลิตวิสตระ
ก็ยังไม่ปรากฏนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แต่อย่างใด
แต่มีปรากฏขึ้นครั้งแรกพร้อม ๆ กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ในพระสูตรปรัชญาปารมิตาซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด
และในพระสูตรรุ่นต่อ ๆ มาก็ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ปรากฏขึ้นมากมาย
พระสูตรมหายานกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรประทับอยู่
ณ สุขาวดีพุทธเกษตร คอยช่วยพระอมิตาภะโปรดสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์
และเนื่องจากทรงเป็นพระธยานิโพธิสัตว์จึงมีความเป็นมาอันยาวนานสุดจะคาดคำนวณได้
นับแต่สมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้นมาก็ทรงได้โปรดสัตว์มาเป็นลำดับจนถึงบัดนี้
อันเป็นกาลสมัยของพระสมณโคดมศากยมุนีพุทธเจ้า
ก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนานสุดจะพรรณนา ใน กรุณาปุณฑริกสูตร
อธิบายว่า พระอวโลกิเตศวรเป็นพระธรรมกายโพธิสัตว์
สูงกว่าพระโพธิสัตว์สามัญอื่น ๆ และเป็นเอกชาติปฏิพัทธะเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์อารยเมตตรัย
กล่าวคือเป็นผู้ที่ยังข้องอยู่กับการเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
กล่าวกันว่าพระอวโลกิเตศวรจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายหลังการดับขันธปรินิพพานของพระอมิตาภะ
เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ณ แดนสุขาวดี
นอกจากนี้ในพระสูตรมหายานอื่น
ๆ ก็ยังมีปรากฏว่าอธิบายแตกต่างออกไปอีก กล่าวคือ
บางพระสูตรกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้นแท้จริงแล้วคืออวตารภาคหนึ่งของพระอดีตพุทธเจ้า
ที่ได้ทรงบรรลุพุทธภูมิเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะแล้วในอดีตกาลอันยาวไกล
ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าของเรา แต่ด้วยพระมหากรุณาที่เล็งเห็นสรรพสัตว์ยังตกอยู่ในโมหะอวิชชา
ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่ในวังวนแห่งสังสารวัฏยากจะหลุดพ้นไปได้
จึงทรงแบ่งภาคมาเป็นพระอวโลกิเตศวรเพื่อโปรดปวงสัตว์ให้เห็นธรรมพ้นทุกข์ด้วยพระเมตตากรุณา
ในบางแห่งก็กล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรเป็นพุทธโอรสของพระอมิตาภะที่ทรงบันดาลด้วยพุทธาภินิหาริย์ให้อุบัติขึ้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งแก่โลก
แต่ทางฝ่ายทิเบตเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรอุบัติขึ้นมาพร้อม
ๆ กับพระนางตาราด้วยอานุภาพของพระอมิตาภพุทธ
จากแสงสว่าง (บางแห่งว่าเป็นน้ำพระเนตรจากความกรุณาสงสารสรรพสัตว์)
ที่เปล่งออกมาจากพระเนตรเบื้องขวาของพระอมิตาภะได้บังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรประทับบนดอกบัวที่ปรากฏขึ้นพร้อม
ๆ กับมนตร์ โอม มณี ปัทเม หูม ส่วนแสงจากพระเนตรเบื้องซ้ายก่อให้เกิดพระนางตาราโพธิสัตว์
อย่างไรก็ตาม ในพระสูตรอื่นบางแห่งก็มีกล่าวว่าแท้จริงแล้วพระอวโลกิเตศวรก็คือภาคหนึ่งขององค์พระอมิตาภะนั่นเอง
(เนื่องด้วยเรื่องราวของพระสูตรเป็นลิขสิทธิ์ของวัดโพธิ์แมนคุณาราม
ฉะนั้นหากท่านต้องการศึกษาเพิ่มเติมกรุณา
เข้าไปอ่านในนี้เวปพุทธยาน (เวปของคณะศิษย์คณะสงฆ์จีนนิกาย
วัดโพธิ์แมนคุณาราม ที่มา http://community.buddhayan.com)
ต่อไปนี้ เป็นงานแปลของ เสถียร โพธินันทะ
เกี่ยวกับพระแม่กวนอิม
พระคัมภีร์พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์
แปลโดย.....เสถียร โพธินันทะ
ในลัทธิมหายานมีพระคัมภีร์อรรถว่า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ศากยมุนี) ตรัส
พระอมิตาภะสูตร (ออนีท้อเก็ง) แก่พระสารีบุตรเถระ
มีใจความย่อดังนี้.-
"จำเดิมแต่เวลาล่วงมาถึง
10 กัปป์แล้ว ได้มี พระพุทธอมิตาภะ (ออนีท้อฮุก)
ประทับ อยู่ ณ แดนสุขาวดีทางทิศปัจฉิม (เกกลักสี่ก่าย-ไซที)
พระพุทธอักโษภยา ทางทิศบูรพา, พระพุทธรัตนสมภพ
ทางทิศทักษิณ พระพุทธอโมฆสิทธิ์ ทางทิศอุดร
พระพุทธไวโรจน์ อยู่ศูนย์กลาง ฯลฯ พระพุทธเจ้า
เหล่านั้นล้วนเป็นพระฌานีพุทธ (ไม่ได้เสด็จลงมาตรัสในโลกมนุษย์)
กับยังมีพระฌานีโพธิสัตว์จำนวนมากไม่สมัครพระทัยที่จะเสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ
ดับขันธ์เพียงแค่ชาตนั้น (เป็นพระพุทธเจ้าไปแต่ก็ไม่มีแม้เยื่อใยเหลือไว้แก่โลกอีก
คือไม่โปรดสัตว์แล้ว) ทรงตั้งปณิธานขอโปรดสัตว์โลกในไตรภูมิต่อไป
เพื่อให้สัตว์โลกในอนคตได้รับพระเมตตากรุณาเช่นเดียวกับสัตว์โลกในอดีต"
มีพระมหาโพธิสัตว์องค์สำคัญยิ่งมีพระนามว่า
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ หรือ พระกวนอีม
เป็นพระมหาโพธิสัตว์ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานเคารพนับถือมากที่สุด
ด้วยพระองค์ทรงพระเมตตากรุณาโปรดสัตว์ทั่วทั้งไตรภูมิให้พ้นจากกองทุกข์
เนื่องด้วยพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ทรงมีพระวทัญญู
(ความเมตตากรุณาธิคุณ) คอยปลดเปลื้องความทุกข์ภัยของสัตว์โลก
จึงมี พระเนมิตตกนาม (นามที่มาจากลักษณะและคุณสมบัติ)
ตามภาษาจีนเรียกว่า พระกวนซีอิมไต่พู่สัก
แปลว่า พระมหาโพธิสัตว์ที่มีพระกรรณาวธานโลกาศัพย์
หรือที่เรียกง่าย ๆ คือ พระมหาโพธิสัตว์ที่เงี่ยหูฟังเสียงโลก
(พวกที่มีทุกข์ใจไปบนบานถือศีลกินเจ แล้วมักจะเกิดผลดีในทางจิตใจ
พวกที่กินเจไม่ได้เลย…ก็ยังช่วยทำบุญก็มีมาก
คืออุทิศเงินให้ผู้อื่นถือศีลแทนตน)
ตามคติในมหายานกล่าวว่า
เมื่อพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ หรือพระกวนอีมจะเสด็จไปโปรด
ท้าวพระยามหากษัตริย์ พระองค์ก็แปลงพระองค์เป็น
เมธาตถมาณพทรงเครื่องภูษามาลามหากษัตริย์
ถนิมอลังการสง่ากว่าพระมหากษัตริย์องค์นั้น
เมื่อพระองค์เสด็จไปโปรด ท้าวนางพระยาและบรรดาสตรีเพศ
พระองค์ทรงจำแลงพระองค์เป็น สตรีอันทรงอิตถีรูป
(มีความงามของผู้หญิง) ทรงสมรรถนะเป็นที่น่าวันทาอภิวันท์
พระองค์ทรงปฏิบัติพระองค์เช่นนี้ ให้เหมาะสมกัลกาละเทศะ
เพื่อว่าง่ายสอนง่าย
พระรูปของพระองค์ส่วนมากมักนิยมทำหรือเขียนเป็นพระมหาโพธิสัตว์ผู้หญิง
และเป็นพระมหาโพธิสัตว์องค์เดียวเท่านั้นที่บรรดาสตรีจีน
ทั้งในประเทศและนอกประเทศจีนรู้จักกันและเคารพนับถือมากที่สุด
พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์
หรือ พระกวนอีม ในพระสูตร (โพ้วมึ้งปิ้ง)
มีกล่าวว่า ถ้าบุคคลใดจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ตาม
เมื่อระลึกถึงพระองค์ด้วยความเลื่อมใสอ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วยเหลือ
พระองค์จะแผ่เมตตากรุณามาปลดเปลื้องทุกข์ภัยของผู้นั้นสมประสงค์
(เป็นสื่อกลางดึงดูดบันดาลใจให้คนมีเมตตากรุณาจิตมาก)
ในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร
(ฮวบฮั้วเก็ง)
พระคัมภีร์กล่าวว่า
พระมหาโพธิสัตว์กวนอีม มี พระคุณาลังการ อันประกอบด้วย
1.พระปัญญาคุณ
2. พระสันติคุณ และ 3. พระเมตตากรุณาธิคุณ
ผู้ใดเข้าถึงหรือมีคุณาการ
(บ่อรวมความดี) ตามอย่างพระองค์ก็จะเป็นผู้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งหลายได้จริง
การภาวนาพระคาถาของพระองค์จะต้องการะทำประกอบพร้อมทั้งองค์
3 คือ กาย วาจา และ ใจ โน้วน้าวไปตาม ธรรมานุธรรมปฏิบัติ
(ความประพฤติดีงามตามสถานะ) จึงจะเกิด ธรรมสาระคุณ
(คุณในแก่นแห่งธรรม) คือบรรลุถึง "วิปัสสนาปัญญา"
เช่น
1.
คุณในปัญญา
2.
คุณในสันติและ
3.
คุณในเมตตากรุณา
พระองค์เป็นแต่ผู้ให้
คุโณปการ (การอุดหนุนให้ทำคุณงามความดีต่าง
ๆ ) ชี้ทางและเตือนใจให้สร้างคุณธรรมนั้น
ๆ ขึ้น อนึ่ง ในลัทธิมหายาน มักจะมีอรรถข้อความเรียกว่า
กลบท หรือเป็น ธรรมปริศนา แบบต้นตออินเดียของเดิมแท้นั้น
ไว้ให้ขบคิดกันเอง ถ้าขบคิดไม่ตก ก็แปลว่ายังค้นหาช่องทางไม่ถูก
เข้ายังไม่ถึงหรือว่ายังมองไม่ทะลุ ธรรมบท
นั้น ๆ ถ้าขบคิดตกแล้วก็หมายถึงซึ่งความสว่างแล้ว
ดังในพระสูตรกล่าว เช่น .-
ในกรณีโจรภัย
พระคัมภีร์กล่าวว่า
: "บุคคลใดกล่าวภาวนาคาถาของพระมหาโพธิสัตว์
กวนอีม โจรภัยก็ปราศจากไป คำว่า โจร ณ ที่นี้
ในธรรมาธิษฐานมีความหมายถึง โจรแห่งอารมณ์ฟุ้งซ่าน
หาใช่โจรธรรมดาไม่ โจรที่จุดคบไฟแดงโห่ร้องเข้าปล้นบ้านนั้น
เป็นโจรชนิดออกหน้าออกตามาให้แลเห็น แต่โจรแห่งอารณ์ฟุ้งซ่านนั้น
เป็นโจรชนิดไม่มีตัวตน (เพราะตาเรามองไม่เห็นตัวตนของมัน)
ปล้นอย่างเงียบ ๆ และใจเย็น รุมกันเข้าปล้นเราทาง
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ ใจ ผู้ถูกปล้น
มีสติเพลิดเพลินหลงใหลทรัพย์สินเงินทองสมบัติหมดเปลือง
ถูกขนของออกจากบ้านไป โดยการปล้นชนิดนี้ทีละเล็กทีละน้อยจนหมดเนื้อประดาตัว
โจรชนิดนี้ไม่ใช่โจรที่จะมาปล้นเป็นครั้งคราว
มันทำการปล้นทั้งกลางวันและกลางคือทุกวัน
ทั้ง ๆ ที่ผู้ถูกปล้นอยู่ในขณะมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ด้วย
ตัวอย่างเช่น.-
ทางหู
อยากฟังเสียงขับร้องเสนาะเพราะ ๆ อยากฟังเสียงอ่อนหวานยวนยีให้เกิดอารมณในตัณหา
เสียงที่ยกยอปอปั้นจากบุคคลหัวประจบ ส่งเสริมไปในทางอบายมุข
เหล่านี้เรียกว่า โจรปล้นทางหู ทางตา อยากดูหนังแล้วก็พากันไปที่โรงภาพยนต์คิงส์
หรือ ควีน อยากดูละคร ก็พากันไปที่โรงละครศรีอยุธยา,
อยากดูงิ้ว ก็พากันไปโรงงิ้วแถวทีกัวที, อยากดูของงาม
ๆ หรือภาพสวย ๆ ก็ไปจัดซื้อหามาเก็บไว้ดูเพลิน
ๆ เหล่านี้คือโจรปล้นทางตา
ทางจมูก
อยากสูดกลิ่นเสาวคนธ์ กลิ่นหอมระรวยต่าง ๆ
ก็พากันไปซื้อน้ำอบฝรั่งอย่างชนิดดี ๆ จะแพงเท่าไหร่ไม่ว่า
ยิ่งชนิดเข้าชะมดเชียงหอมทนได้ตั้งอาทิตย์สองอาทิตย์ยิ่งดีใหญ่
ทั้งที่นอนหมอนมุ้ง ตลอดจนอาบน้ำก็ชะโลมด้วยเครื่องหอม
เหล่านี้คือโจรปล้นทางจมูก
ทางปาก
อยากรับประทานของที่มีรสอร่อย ๆ เช่น กับข้าวฝรั่งก็พากันไปยังโฮเต็ลโทรคาเดโร,
โอเรียลเต็ล กับข้าวจีนก็ไปยังห้อยเทียนเหลา
เยาวยื่น กับข้าวไทยก็ไปภัตตาคารสวนลุมชายทะเล
ยิ่งแถมสุราเข้าไปด้วยก็ยิ่งไปกันใหญ๋ โจรเหล่านี้คือ
โจรปล้นทางปาก
ทางกาย
อยากแต่งตัวด้วยอาภรณ์จินดา อยากนั่งรถยนต์คันโต
ๆ โก้สง่า อยากอยู่ตึกหลังใหญ่ ๆ มีการรื่นเริงเลี้ยงดูกันด้วย
สุรานารี ฟ้อนรำ ทำเพลงสนุกสนาน เมื่อขัดสนเข้าก็กู้เงินเขามาใช้จ่ายโดยเสียดอกเบี้ย
อย่างนี้คือโจรปล้นทางกาย ปล้นทั้งเงินทองและปล้นทั้งสุขภาพอนามัย
และหนัก ๆ เข้าก็ปล้นถอนเอาเสาเรือนเป็นหลัง
ๆ ไปเลย
ทางใจ
เมื่อใจคิดอยากได้ในสิ่งต่าง ๆ ไม่ประสบผลสมประสงค์อย่างหนึ่ง
คือความอยากใด ๆ ได้บรรลุผลสมความปรารถนามาแล้ว
แต่ถึงขนาดสภาพมีรายได้มาปิดหีบไม่ลง ใจก็เกิดฟุ้งซ่านเดินเลยขอบเขตอันดีงามไป
คือ คิดวิธีหาเงินในทางอกุศล แล้วอกุศลกรรมก็นำไปสู่ความหายนะอย่างนี้
คือโจรปล้นทางใจ โจรชนิดนี้ยังปล้นเอาความอิสรภาพไปอีกด้วย
หากบุคคลใดสามารถไตร่ตรองตามทำนองในพระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีม
โดยนำเอาเพียง ปัญญาคุณ อย่างเดียวพิจารณา
ก็จะแลเห็นว่า ทรัพย์ที่ได้พยายามหามาด้วยการลำบากยากและเหน็ดเหนื่อยนั้น
ได้ถูกปล้นไปในทางแห่งอารมณ์ฟุ้งซ่าน ถ้าจะเอาปัญญาคุณมาใช้
โจรภัยแห่งอารมณ์ฟุ้งซ่านเหล่านี้ ก็จะปราศจากไปเอง
ในกรณีอัคคีภัย
กล่าวว่า: บุคคลใดเมื่อภาวนาคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีม
อัคคีภัยจะทำอะไรไม่ได้
พระคัมภีร์นี้ถ้าถอดเป็นพระธรรมาธิษฐาน อัคคีภัย
ณ ที่นี้ หมายถึง
1.
โลภะ อัคนี
2.
โทสะ อัคนี และ
3.
โมหะ อัคนี
หาใช่อัคคีภัยที่เผาผลาญบ้านเรือนไม่
อัคคีภัยที่เกิดถึงขนาดร้ายแรง เช่น เกิดจากลูกระเบิด
ปรมาณูไหม้กันวินาศหมดไปทั้งเมืองก็ยังสามารถดับได้ด้วยน้ำ
แต่ไฟชนิดอันมีนามว่า อัคคีแห่งกิเลสราคะ
นั้น จะอาศัยเอาน้ำในมหาสมุทรมาดับก็ไม่ยังผล
อัคคีชนิดนี้ลุกลามแพร่แผ่ไพศาลครอบงำมนุษย์ทั่วโลกและกำลังคุกคามเผาโลกให้ลุกเป็นเปลวแดงอยู่ในขณะนี้
(90 % คนมองข้ามไฟนี้ไป กรรม…)
อัคคีภัยแห่งกิเลสราคะ นั้น คอยจี้มนุษย์ให้ร้อนเป็นไฟโดยมิรู้สึกตัว
(ร้อนในทางเลือดไม่ใช่ร้อนทางกาย) ถึงขนาดเจ้าโลภะ
โทสะ และ โมหะ ก็เข้าบงการจิตใจ เช่น :-
1.
รบราฆ่าฟันกัน
2.
ไปลอบฆ่าคนตาย
3.
ไปทำร้ายร่างกาย
4.
ไปปล้นทรัพย์
5.
ไปฉ้อฉลยักยอก
6.
ไปผิดศีลธรรมในลูกเมียเขา
เมื่อเหตุก่อเกิดขึ้น ผลก็มาตามหลัง คือตกทุกข์ได้ยากและต้องรับโทษทัณฑ์
ก็เนื่องจากกองอัคคีดังกล่าวนี้ ผู้ที่เจริญพระคาถาของพระกวนอีม
หากนำเอาคำในพระคัมภีร์มาพิจารณาใช้ก็จะเกิดประโยชน์
กล่าวคือ:-
1.
อัคคีภัยแห่งราคะ จะดับได้ด้วย สันติคุณ
2.
อัคคีภัยแห่งโทสะ จะดับได้ด้วย เมตตากรุณาธิคุณ
3.
อัคคีภัยแห่งโมหะ จะดับได้ด้วย ปัญญาคุณ
ในเมื่อบุคคลใดขบคิดปัญหากลบท หรือเรียกว่าปริศนาธรรมในพระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีมแตกฉาน
อัคคีภัยที่กล่าวข้างต้นก็จะทำอะไรไม่ได้จริง
ๆ
ในกรณีมหาวาตภัยเรือล่มในทะเล
กล่าวว่า
: บุคคลใดถ้าภาวนาระลึกถึงพระมหาโพธิสัตว์กวนอีมก็จะรอดพ้นจากการจมน้ำตาย
ทะเล ในกรณีนี้ พระคัมภีร์มีความหมายถึง ทะเลทุกข์
ซึ่งเรียกกันในพระพุทธศาสนา สัตว์โลกอุปมาดังผู้อาศัยอยู่ในเรือน้อยลอยลำร่อนเร่พเนจรอยู่ในกลางทะเลทุกข์
อันเป็นวัฏฏสงสาร เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในโลก
คือได้แก่:-
การเกิด การแก่ การเจ็บ และ การตาย
สัตว์โลกจะหนีรอดพ้นจากอาการทั้งสี่ที่กล่าวนี้ไม่ได้
ต้องอยู่ในสภาพอันผันแปรอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
เช่น :-
1.
สภาพเป็นเด็กเล็กแล้วก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปเป็นผู้ใหญ่
2.
สภาพเป็นคนหนุ่มแน่นภายหลังก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนแก่ชรา
3.
สภาพเป็นคนแข็งแรงในสุขภาพ แล้วก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนเพียบไปด้วยโรคาพยาธิ
4.
สภาพเป็นคนเกิดมาในโลก แล้วก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนตายไปจากโลก
การผันแปรเปลี่ยนแปลงอยู่ทุก ๆ นาทีนี้ เช่นเดียวกับการลาดเอียงสูงต่ำแห่งกระแสคลื่นในทะเล
จะมีอะไรเป็นแก่นสารก็หาไม่ ขันธ์ทั้ง 5 คือ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็อยู่เพียงระยะชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น
ไม่มีอะไรจะคงทนอยู่ได้ตลอดกาล โดยไม่มีการผันแปรเปลี่ยนแปลงเสื่อมคลาย
และสูญดับ
อนิจจัง
คือ ความไม่ยั่งยืน ไม่เที่ยง
ทุกขัง
คือ ความทุกข์ ความยาก
อนัตตา
คือ สิ่งที่ไม่ใช่เป็นตัวตนของตนเอง
เหล่านี้เป็นไปตาม
กรรมบถ คือ ทางของกุศลกรรมคลุกเคล้าอกุศลกรรม
เป็นปัจจัยกระทำให้สัตว์โลกมีการเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในทะเลทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
(จมน้ำตายกันอย่างนี้)
ถ้าบุคคลใดตีปัญหาปริศนาธรรมในพระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีมแตก
ก็จะเกิดปัญญาคุณ คือ มีปัญญาหลักแหลมมองทะลุความจริงได้
ก็เท่ากับสามารถนำเรือของตนเข้าถึงฝั่งจากมหาวาตภัยและรอดจากการจมน้ำตายได้จริง
ในกรณีศัสตราภัย
กล่าวว่า
: - บุคคลใดเมื่อภาวนาพระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอีม
อาวุธแหลมทุกชนิดจะไม่สามารถระคายผิวได้
คำในคาถาข้อสุดท้ายนี้แหละ
แสดงให้แลเห็นเด่นชัดว่าในมหายานมีธรรมคาถาเป็น
กลบท ชั้นเชิงทำให้ฉงนไปในทางหนึ่งนัยว่า
ต้องการให้มีความไหวพริบ คือ ปัญญา (ให้เกิดปัญญาขึ้นในตัวไม่ต้องไปหาปัญญาจากที่อื่น)
ถ้าเกิดปัญญาคุณขึ้นแล้วก็มองทะลุความจริงว่า
พระคาถานี้หาได้มีความหมายตายตัวตามศัพท์ที่ว่าไม่
เพราะผิวหนังมนุษย์ไม่ใช่เหล็กกล้าจึงจะคงกระพันชาตรี
เมื่อเป็นเช่นนี้อรรถในพระคาถานี้คงหมายความเป็นปริศนาธรรมให้ขบคิด
และจุดอันแท้จริงของพระคาถานี้ ได้แก่ :-
บุคคลที่สามารถรักษา
อายตนะทั้งหก คือ อินทรีย์ทั้ง 6 นั้นเอง
อายตนะ มี ตา ËÙ จมูก
ปาก กาย และใจ อันเชื่อมโยงไปใน รูป เสียง
กลิ่น รส สัมผัส และ อารมณ์
ถ้าบุคคลใดมีความสามารถ ไม่ยองใย และตัดขาดจากสิ่งที่จะมากระทบให้เกิดอกุศลกรรม
กล่าวคือ :-
1.
เมื่อหูได้ยิน ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็น เช่นหูไม่ได้ยิน
2.
เมื่อตาและเห็น ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็น เมินไม่แลเห็น
3.
เมื่อจมูกได้กลิ่น ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็น เหมือนมิได้ดมกลิ่น
4.
เมื่อลิ้มรส ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็น เหมือนมิได้รับรสรู้
5.
เมื่อกายสัมผัส ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็น ประดุจไม่ได้สัมผัส
6.
เมื่อใจได้รับอารมณ์ ในสิ่งอกุศล ก็ทำเป็น
เฉยเฉื่อยไม่ได้รับรู้ในอารมณ์นั้น ๆ และไม่หวั่นไหว
ระงับ ตัณหา ที่จะเป็นปัจจัยให้เกิด อกุศล
เจตนาขึ้น คือ :-
1.
ความปรารถนา
2.
ความดิ้นรน
3.
ความอยาก และ
4.
ความเสน่หา
เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่บังเกิดขึ้น อำนาจแห่ง
ธรรมมิตร ก็เข้าชักจูงเรียกร้องดูดดึงเอา
สันติคุณ ตลอดจน เมตตากรุณาธิคุณ เข้ามาไว้ในตัว
ก็จะเสมือนว่า เป็นเกราะบังป้องกันศัตราวุธไม่ระคายผิวหนังตามพระคาถาได้ไม่ต้องสงสัย
เท่าที่บรรยายมาเบื้องต้น พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์
หรือ พระกวนอิม จึงเป็นที่เคารพบูชานับถือว่า
พระองค์เป็นที่พึ่งของปวงสัตว์โลก ทั้งเป็นผู้มีพระเมตตาช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยของสัตว์โลกทั่วไตรภูมิ
และทรงปฏิบัติเช่นนี้เป็นนิจสิน
พระคาถาของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมนั้น
ไม่ใช่แต่เพียงท่องบ่นอย่างเดียว เป็นกลบทในปริศนาธรรมให้ขบคิดด้วยพร้อมกัน
และในเมื่อบุคคลใดสามารถขบปัญหาแตกกับปฏิบัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ก็ได้ชื่อว่าอัญเชิญพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์มาอยู่ในดวงจิตของบุคคลนั้น
และบุคคลผู้นั้นก็ปลอดภัยจากอันตรายนานาประการ
ดังได้บรรยายมาแล้ว
พระอวโลกิเตศวร
หรือพระกวนอีมมหาโพธิสัตว์นี้ ทางอุตรนิกายนับถือว่า
เป็นพระปัทมปาณีมหาโพธิสัตว์ ได้โปรดสัตว์โลกในอดีตมานานแล้ว
ทั้งทรงตั้งปณิธานวัฒนาการโปรดสัตว์โลกต่อไปอีกในอนาคต
จึงยังไม่เสด็จเข้าสู่พระพุทธภูมิ
อนึ่ง
มวลพิธีที่มีในนิกายนี้ เช่น มีพิธีกงเต็ก
เป็นต้น พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์อัญเชิญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กับพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ เสด็จมาประทับรับการบูชาในพิธีเพื่ออานิสงส์
ส่วนพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ และองค์อื่น
ๆ นั้น อัญเชิญมาเป็นประมุขในการประกอบพิธีโปรดสัตว์โลกให้รอดตาย
คือไม่ฆ่าชีวิตสัตว์ และยังไม่เสพเลือดเนื้อสัตว์
เจริญมหาเมตตากรุณาธรรมจริง ๆ ตามลัทธิ ด้วยประการฉะนี้
ขอจบการวิสัชชนา เรื่องพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์
หรือ พระมหาโพธิสัตว์กวนอีม แต่เพียงนี้
(ที่มา : จากหนังสือพระคัมภีร์ กวนอีมมหาโพธิสัตว์
แปลโดย เสถียร โพธินันทะ พิมพ์แจกเป็นธรรมทานโดย
ชมรมธรรมทาน ทางไปรษณีย์ พุทธสถานโรงเจ เป้าเก็งเต๊ง
ซอยปลูกจิต 2 ถนนพระราม 4 กทม.)
|