ศาสนาขงจื๊อ
ชื่อศาสนา
ศาสนาขงจื๊อ (Confucianism)
สัญลักษณ์ศาสนา
สัญลักษณ์ของศาสนาขงจื๊อ ได้แก่รูปปั้น หรือรูปเขียนของขงจื๊อ
ประเภทของศาสนา
แนวทางครองชีวิต หลักเกณฑ์การวางตนในสังคม
คำสอนของขงจื๊อเป็นหลักเกณฑ์การวางตนในสังคมสำหรับผู้ที่ต้องการอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์อย่างมีสันติสุข
และเป็นแนวทางครองชีวิตของผู้ใฝ่รู้เพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง
ศาสดา
ขงจื๊อ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ขงจื๊อเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอารยธรรมจีน
ชาวจีนรวมทั้งชาวเอเซียตะวันออกพากันเลื่อมใสยกย่องขงจื๊อติดต่อกันมากว่าสองพันห้าร้อยปีแล้ว
แต่หากจะตั้งคำถามว่า คำสอนของขงจื๊อสมควรจัดเป็นศาสนาได้หรือไม่
ก็จะมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่ยังลังเล ไม่ยอมตอบรับ
เพราะคำสอนของนักปราชญ์ท่านนี้ไม่มีการกล่าวถึงพระเจ้าหรือกำเนิดของจักรวาล
ไม่สนใจให้คำอธิบายเรื่องภพหน้าหรือชีวิตหลังความตาย
อีกทั้งขงจื๊อเองก็ไม่เคยอ้างว่า ตนเป็นต้นคิดคำสอนเหล่านั้น
ท่านย้ำอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอว่า เป็นแต่เพียงผู้รวบรวมความคิดของนักคิดนักปราชญ์ในอดีตกาล
เพื่อถ่ายทอดให้แก่ชนรุ่นหลัง นั่นคือท่านไม่เคยตั้งตนเป็นศาสดา
และไม่เคยกำหนดให้ผู้เลื่อมใสคำสอนของท่านสละการครองเรือนมาเป็นนักบวช
การถกกันเรื่องนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ง่ายๆ
สาวกคนสำคัญ
เม่งจื๊อ
กำเนิดศาสนา
คิดตามปีเกิดของขงจื๊อ เกิดก่อน ค.ศ. ประมาณ 551
ปี
สถานที่กำเนิดศาสนา
ประเทศจีน
การกำเนิดศาสนา
เดิมทีเดียวในสมัยที่ขงจื๊อยังมีชีวิตอยู่ มิได้ถือกันว่าคำสั่งสอนที่ขงจื๊อรวบรวมจากความคิดของนักคิดนักปราชญ์ในอดีตกาลเป็นศาสนา
แต่เมื่อขงจื๊อสิ้นชีวิตแล้ว ผู้นิยมในคำสอนต่างยกย่องสรรเสริญ
และต่อมาจึงมีประกาศเป็นทางการให้บูชาขงจื๊อในฐานะศาสดา
จำนวนผู้นับถือศาสนา
ประมาณ 394,000,000 คน (ปี ค.ศ.2005)
ประเทศที่มีศาสนิกชนศาสนาขงจื๊อ
จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียตนาม เกาหลีและประเทศอื่นๆที่มีชาวจีนพำนักอยู่
ประวัติศาสดา
ขงจื๊อมีชีวิตอยู่ระหว่างปี ๕๕๑ ถึงปี ๔๗๙ ก่อนคริสตกาล
ช่วงเวลาดังกล่าวกลียุคกำลังครอบงำแผ่นดินจีน
ขงจื๊อเกิดในตระกูลผู้ดีตกยากที่มณฑลซานตุง ชื่อตัวคือ
ชิวหรือคิว นามสกุลคุงหรือขง ครอบครัวของท่านเป็นผู้คงแก่เรียน
ท่านเองก็มีความรักเรียนตั้งแต่วัยเด็ก ขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเอง
แม้จะต้องทำงานหนักเพื่อช่วยครอบครัว เนื่องจากบิดาเสียชีวิตเมื่อขงจื๊ออายุได้เพียง
๓ ปี ท่านสนใจขุมปัญญาของบรรพชนจีนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะขนบธรรมเนียม
จารีตประเพณี และประวัติศาสตร์ ท่านเห็นว่าการที่แผ่นดินจีนในอดีตสงบสุขและรุ่งเรืองกว่าสมัยของท่านเอง
เป็นเพราะคนโบราณนับแต่ผู้ครองแผ่นดิน ข้าราชบริพาร
ตลอดไปจนถึงบรรดาพลเมืองต่างมีคุณธรรมประจำใจ
รู้จักปฏิบัติตนในทางที่เกื้อหนุนให้เกิดความสามัคคีในสังคม
และเคารพจารีตประเพณีประจำถิ่นของตนอย่างเคร่งครัด
ด้วยเหตุนี้ขงจื๊อจึงคิดจะขจัดกลียุคในสมัยของตนด้วยการอบรมหลักจริยธรรม
ขัดเกลาจิตใจผู้คนโดยเฉพาะชนชั้นปกครองให้มีคุณธรรม
ขงจื๊อเชื่อมั่นว่าคุณธรรมเท่านั้นที่จะนำความสงบสุขมาสู่สังคมได้
ขงจื๊อทำการค้นคว้าจนรอบรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี
ประวัติศาสตร์ การปกครองและดนตรี แล้วท่านก็ตั้งโรงเรียนสอนผู้สนใจทั่วไป
สำนักของขงจื๊อเน้นด้านจารีตประเพณี ท่านสอนอยู่
๒๐ ปี มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว มีลูกศิษย์มากมาย
ต่างสรรเสริญความคงแก่เรียนและน้ำใจเอื้ออาทรของท่าน
ท่านชอบพูดอย่างถ่อมตนเสมอว่า ท่านเป็นเพียงผู้รวบรวมความรู้ของนักปราชญ์สมัยโบราณมาถ่ายทอดแก่ผู้คนร่วมสมัย
ท่านไม่เคยยกตนเป็นเจ้าของหลักความคิด ทฤษฎี หรือคำสอนในเรื่องใดทั้งสิ้น
ขงจื๊อวางหลักการครองชีวิตและการวางตัวไว้ให้บุคคลทุกสถานะ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ครองแผ่นดินหรือเป็นเพียงผู้ครองเรือน
เมื่ออายุได้ ๕๑ ปีท่านเข้ารับราชการฝ่ายปกครอง
มีความสามารถจนได้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
มีโอกาสนำความคิดด้านการปกครองไปทดลองใช้กับแคว้นหลู่บ้านเกิด
ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเวลาเพียง ๔ ปีจนเป็นที่ริษยา
ถูกกลั่นแกล้งจนต้องออกจากเมืองไป ท่านตระเวณไปขอพบเจ้าเมืองหลายคน
ด้วยความหวังว่า จะมีผู้สนใจหลักการปกครองของท่าน
แต่ก็ต้องผิดหวัง ไม่มีเจ้าเมืองคนใดยอมให้ท่านนำความคิดมาประยุกต์ใช้ในเมืองของตน
อย่างไรก็ดี ในหมู่ผู้ครองเรือนขงจื๊อได้รับความเคารพรักและความยกย่องอย่างสูง
บรรดาลูกศิษย์ของท่านต่างช่วยกันจดบันทึกคำสอนของท่านอย่างละเอียด
ท่านดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ปฏิบัติตัวอยู่ในหลักจริยธรรมตามที่ท่านเองสอน
ท่านอุทิศเวลาจวบจนบั้นปลายของชีวิตให้กับการเรียนและการสอนคุณธรรม
และศึกษา รวบรวม คัดเลือกและเรียบเรียงงานวรรณกรรมเก่าๆ
เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาของคนโบราณมิให้สูญหาย
ขงจื๊อสิ้นชีวิตเมื่ออายุ ๗๓ ปี
หลักการปกครองและหลักจริยธรรมของขงจื๊อได้รับการยกย่องในสมัยต่อมา
พระจักรพรรดิของราชวงศ์ฮั่น (ระหว่างปี ๒๐๖ ก่อนคริสตกาลถึงค.ศ.
๒๒๐) ต่างใช้หลักธรรมของขงจื๊อเป็นแนวการปกครอง
โดยเฉพาะข้อที่กำหนดให้ผู้ปกครองดูแลราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข
ไม่ใช้อำนาจข่มขู่หรือเบียดเบียนราษฎร
ปัจจุบันนี้คำสอนของขงจื๊อยังคงมีอิทธิพลมหาศาล
ชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
วัฒนธรรมของประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียตนาม
สิงคโปร์และอีกหลายประเทศในเอเซียอาคเนย์ต่างมีโฉมหน้าดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะคำสอนที่ขงจื๊อรวบรวมไว้
จุดมุ่งหมายในการสอน
อาจกล่าวอย่างกว้างๆได้ว่า ขงจื๊อมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสอนสองประการ
คือ ต้องการจะยกระดับจิตใจของคน และสร้างความสามัคคีในสังคม
การที่จะบรรลุจุดหมายทั้งสองบุคคลต้องเริ่มที่ตนเองก่อน
ขั้นแรกจะต้องศึกษาเล่าเรียนเพื่อขัดเกลาจิตใจของตน
ในขั้นต่อมาจะต้องใช้คุณธรรมเป็นหลักประจำใจเมื่อต้องติดต่อกับผู้คน
หัวข้อสำคัญของปรัชญาขงจื๊อได้แก่หลักการปกครอง
ขงจื๊อมุ่งสอนชนชั้นปกครองเพราะท่านคิดว่า ถ้านักปกครองทำหน้าที่ของตนโดยใช้หลักจริยธรรมและวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ราษฎรแล้ว
บ้านเมืองก็จะสงบสุข ส่วนราษฎรก็ต้องเชื่อฟังผู้ปกครอง
เป็นหลักปฏิบัติที่ต่างฝ่ายต่างมีพันธะต่อกัน
คำสอน
คำสอนของขงจื๊อดำเนินตามหลัก ๕ ประการ ดังนี้
๑. ศรัทธา หมายถึง ศรัทธาในธรรมชาติของมนุษย์
ขงจื๊อคิดว่า คนเรามีธรรมชาติที่ดีมาแต่กำเนิด
เราจึงควรศึกษาธรรมชาติของคน เพื่อจะได้เข้าใจความดีและความสมบูรณ์แบบของธรรมชาติมนุษย์
๒. ความรักเรียน ขงจื๊อคิดว่า การศึกษาจะช่วยให้คนเข้าใจกันดีขึ้น
ทั้งยังช่วยให้คนประพฤติตัวดีเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นได้ด้วย
๓. การบำเพ็ญประโยชน์ ขงจื๊อคิดว่า การมีเมตตาจิตต่อกันจะทำให้สังคมเป็นสุข
๔. การสร้างลักษณะนิสัยและทัศนคติที่ดี คนเราต้องพัฒนาตนเองก่อนจะไปปฏิรูปสังคม
การติดต่อกับคนอื่นต้องอยู่บนรากฐานของความถูกต้องและมนุษยธรรม
หลักการที่จะนำมาปฏิบัติ ได้ตลอดชีวิต คือ “จงอย่าปฏิบัติต่อผู้อื่น
ในสิ่งที่ท่านไม่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน”
ขงจื๊อคิดว่า ถ้านักปกครองวางตัวไม่ดี ราษฎรก็จะประพฤติตัวไม่ดีไปด้วย
๕. ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี ขงจื๊อคิดว่า
สังคมจะพัฒนาได้ต้องมีระเบียบแบบแผน และระเบียบแบบแผนที่ดีที่จะช่วยพัฒนาปัจเจกบุคคลก็คือ
การศึกษาบทกวีและดนตรี
คำสอนของขงจื๊อแบ่งเป็น ๕ ข้อ ดังนี้
๑. ความเมตตากรุณา มนุษยธรรม (jen)
๒. ความยุติธรรม
๓. พิธีตามจารีตประเพณี (li แปลว่า ความเหมาะสม)
หมายถึง ก. มารยาทที่ดี สมบัติผู้ดี การวางตนถูกกาละเทศะ
ข. การเซ่นสรวงบูชา ค. การประกอบพิธีกรรมต่างๆ
๔. สติปัญญา
๕. ความกตัญญูต่อบิดามารดา
ความสำคัญของการศึกษา
ขงจื๊อตั้งหน้าศึกษาอดีตเพื่อเรียนรู้จากคนในอดีต
แต่คำสอนของท่านเน้นการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันโดยดำเนินตามแบบอย่างอันดีงามของบรรพชน
ขงจื๊อให้ความสำคัญต่อการศึกษาอย่างยิ่ง คำว่าการศึกษาในที่นี้มีความหมายพิเศษ
มิใช่การศึกษาเพื่อนำไปประกอบอาชีพ แต่หมายถึงการศึกษาเพื่อขัดเกลาจิตใจให้มีจริยธรรม
และเพื่อเพิ่มพูนคุณธรรมของผู้ศึกษา ขงจื๊อย้ำว่า
คนเราพึงเล่าเรียนเพื่อจะได้พัฒนาเป็นมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม
การพากเพียรปลูกฝังคุณธรรมนี้จะช่วยให้แต่ละบุคคลประพฤติตนตามทำนองคลองธรรม
อันจะส่งผลให้สังคมสงบสุข
คำว่าการศึกษาของขงจื๊อจึงมีคุณธรรมเป็นเป้าหมาย
และพอจะกล่าวโดยสรุปได้ว่า ขงจื๊อต้องการสอนคนให้เป็นมนุษย์
หรือผู้ที่มีจิตใจสูงนั่นเอง
ระบบคุณธรรม
ระบบคุณธรรมในปรัชญาของขงจื๊อมีสวรรค์ (หรือฟ้า)
เป็นฝ่ายควบคุม คอยให้ความยุติธรรมแก่มนุษย์ในรูปของกฎหมายสากล
ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดทำผิด สวรรค์ย่อมลงโทษ”
ระบบคุณธรรมนี้มาจากความเชื่อของชาวจีนโบราณที่ว่า
สวรรค์อยู่เหนือโลก คอยสอดส่องควบคุมจริยธรรมของชาวโลก
กษัตริย์เป็นโอรสของสวรรค์ ได้รับการมอบหมายจากสวรรค์ให้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างสวรรค์กับราษฎร
ความมั่นคงของกษัตริย์และราชวงศ์ขึ้นอยู่กับความกรุณาของสวรรค์
ถ้าความประพฤติของกษัตริย์ไม่ตั้งอยู่ในหลักธรรม
สวรรค์ก็จะบรรดาลให้เกิดภัยพิบัติต่างๆในแผ่นดิน
ทั้งภัยธรรมชาติและความระส่ำระสายทางการเมืองและสังคม
เมื่อนั้นก็จะมีผู้คบคิดกันโค่นอำนาจของกษัตริย์
ด้วยเหตุนี้ ผู้เป็นกษัตริย์จึงพยายามตั้งมั่นอยู่ในจริยธรรม
กษัตริย์แสดงความเคารพยำเกรงสวรรค์ให้ปรากฏต่อสายตาของโลกโดยประกอบพิธีเซ่นสรวงบูชาให้ถูกต้องตามแบบแผน
ส่วนประชาชนก็ทำหน้าที่โดยเชื่อฟังและภักดีต่อกษัตริย์
เมื่อถึงตรุษสารทก็ทำพิธีเซ่นไหว้ให้ถูกต้องตามประเพณี
หากทำได้ดังนี้ชีวิตของแต่ละคนก็จะราบรื่น และอาณาจักรก็จะมีแต่สันติสุข
พิธีตามจารีตประเพณี (Li)
พิธีตามจารีตประเพณี (Li) หมายถึง
ก. มารยาทที่ดี สมบัติผู้ดี การวางตนถูกกาละเทศะ
ข. การเซ่นสรวงบูชา
ค. การประกอบพิธีกรรมต่างๆ
อาจจะมีผู้สงสัยว่าเหตุใดคำว่า li ซึ่งแปลตามตัวว่า
ความเหมาะสม จึงมีความหมายกว้างถึงเพียงนี้ ในการพิจารณาเรื่องนี้เราพึงนึกอยู่เสมอว่า
ขงจื๊อให้ความสำคัญแก่สังคมเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งนี้ด้วยเหตุผลจากสามัญสำนึกว่า
คนเราจะพัฒนาบุคคลิกภาพได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมเท่านั้น
สังคมเป็นสนามให้เราได้มีโอกาสขัดเกลาจิตใจ ปลูกฝังและเพิ่มพูนคุณธรรม
ในขณะเดียวกันคุณธรรมก็ไร้ความหมายหากไม่มีการแสดงออก
และคุณธรรมจะปรากฏออกมาได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมเท่านั้น
การประกอบพิธีต่างๆเป็นทางหนึ่งที่จะแสดงคุณธรรมในใจ
นั่นคือ คุณธรรมเป็นจุดกำเนิดหรือรากฐานของพิธีกรรม
ขงจื๊อให้ความสำคัญแก่การเซ่นสรวงบูชาและการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
เพราะพิธีเป็นการแสดงความเคารพศรัทธาที่คนมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาให้ปรากฏ
ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นสิ่งดีแต่ไร้ความหมายหากไม่มีการแสดงออก
ในทำนองเดียวกันมารยาทในสังคมก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะแสดงคุณธรรมในใจ
มารยาทจะช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลให้ราบรื่นแม้เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น
สุภาพชนพึงรู้จักมารยาทการวางตนให้เหมาะแก่บุคคล
สถานที่และโอกาส การแสดงความเคารพบุคคลตามฐานะ
เป็นการให้เกียรติแก่ยศและตำแหน่งของอีกฝ่ายหนึ่ง
ทั้งยังเป็นการเตือนให้อีกฝ่ายหนึ่งระลึกถึงหน้าที่ของตน
ที่ผูกอยู่กับยศและตำแหน่งนั้นด้วย
ระบบความคิดแบบครอบครัวหรือความสัมพันธ์ ๕แบบ
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกลุ่มต่างๆในสังคมมีความสำคัญไม่เท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัย สถานะทางสังคมและความเกี่ยวดองฉันญาติ
ขงจื๊อแบ่งความสัมพันธ์ในสังคมออกเป็น ๕ แบบ ได้แก่
๑. ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาต่อบุตร (ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมารดาต่อบุตรด้วย)
๒. ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ต่อน้อง
๓. ความสัมพันธ์ระหว่างสามีต่อภรรยา
๔. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสต่อผู้อ่อนวัย
๕. ความสัมพันธ์ระหว่าง กษัตริย์ต่อราษฎร
ขงจื๊อคิดว่า ครอบครัวเป็นหน่วยของสังคมที่สำคัญที่สุด
เพราะครอบครัวเป็นรากฐานของสังคม ขงจื๊อกำหนดว่า
ภายในครอบครัวจะต้องมีระบบพันธะ คือ ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อกันและกัน
บิดามีหน้าที่เลี้ยงดูบุตร ให้การศึกษาแก่บุตร
อบรมศีลธรรมจรรยาและจัดหาคู่ครองให้ ส่วนบุตรมีหน้าที่เคารพเชื่อฟังบิดา
และให้การดูแลเมื่อบิดาเข้าสู่วัยชรา
ในทำนองเดียวกัน ความสัมพันธ์อีก ๔ แบบข้างต้นก็มีระบบพันธะเป็นรากฐาน
และใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาต่อบุตรเป็นแม่แบบ
เช่น ผู้อาวุโสมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้อ่อนวัยตามอัตภาพ
อาจจะช่วยโดยให้คำแนะนำ ให้ทรัพย์ หรือให้การปกป้อง
ส่วนผู้อ่อนวัยมีหน้าที่ให้ความนับถือและ เชื่อฟังยอมรับความหวังดี
ขงจื๊อเชื่อว่า สังคมจะเรียบร้อยกลมเกลียวได้ก็ต่อเมื่อชีวิตครอบครัวเป็นสุข
ความกตัญญูกตเวที
ในเรื่องความกตัญญูกตเวที ขงจื๊อย้ำว่า บุตรต้องเคารพนับถือบิดามารดาด้วยใจจริง
มิใช่เพียงแต่หาอาหารมาให้บิดามารดาเท่านั้น เพราะสัตว์เลี้ยง
เช่น สุนัข เราก็ให้อาหารมัน ถ้าหากว่าไม่มีความเคารพนับถือบิดามารดาเสียแล้ว
บิดามารดาก็เป็นเสมือนสัตว์เลี้ยงในใจของเรา บุตรอาจแนะนำหรือทัดทานบิดามารดาอย่างสุภาพอ่อนโยนได้
หากบิดามารดาไม่คล้อยตามคำแนะนำ ก็ยังต้องแสดงกิริยานอบน้อมไว้
และไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะทัดทานเพื่อผลดีต่อตัวท่าน
ถึงแม้จะถูกตำหนิแรงๆหรือถูกเฆี่ยนตี ก็ไม่ควรอุทธรณ์ฎีกาใดๆ
ทั้งสิ้น
การแสดงความรักและความเคารพต่อบิดามารดาเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่
และแสดงความเศร้าโศกเสียใจเมื่อท่านจากไปแล้ว
เป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่งของมนุษย์ ดังนั้น การบูชาบรรพบุรุษจึงเป็นพิธีกรรมที่ขงจื๊อถือว่าเป็นรากฐานแห่งจริยธรรม
อุดมคติในการปฏิบัติต่อกันในสังคม
1. ผู้ปกครองแสดงความเมตตาผู้อยู่ใต้การปกครอง
และผู้อยู่ใต้การปกครองมีความจงรักภักดี
2. บิดามารดาให้ความเมตตา บุตรมีความกตัญญูกตเวที
3. สามีทำหน้าที่อย่างมีคุณธรรม ภริยาเชื่อฟังและเคารพสามี
4. พี่ชายรักและเอ็นดูน้อง น้องนับถือพี่
5. เพื่อนวางตัวให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของกันและกันได้
ปรัชญาการปกครอง
ในระบบปรัชญาการเมืองของขงจื๊อ รัฐบาลที่ดีควรมีหลักยึดมั่น
3 ประการ คือ
1. ต้องดูแลให้ประชาชนมีอาหารบริโภคทั่วหน้าอย่างเพียงพอ
2. ต้องสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เพื่อป้องกันแคว้นของตน
3. ต้องวางตนให้ประชาชนเชื่อถือ
ถ้ารัฐบาลจำเป็นต้องสละสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้สละทหารเป็นสิ่งแรก
ต่อมาคืออาหารเพราะไม่มีใครหนีความตายได้ แต่รัฐบาลที่ดีจะต้องทำให้ประชาชนเชื่อถือศรัทธาอยู่เสมอ
รัฐบาลในความคิดของขงจื๊อมีหน้าที่สำคัญ 2 ประการ
คือ
1. ให้บริการแก่ประชาชน
2. ออกกฎต่างๆเพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ในส่วนของการปกครอง ขงจื๊อเน้นหลัก ๓ ประการ
ดังนี้
- ผู้มีอำนาจต้องยึดมั่นในหลักการ และมีความเด็ดขาด
ต้องรู้จักใช้อำนาจบังคับเมื่อจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์
- ครอบครัวที่รักกันและสามัคคีกันเป็นรากฐานของสังคมที่ดี
- ผู้มีอำนาจการปกครองต้องประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ราษฎร
ก่อนที่จะเป็นนักปกครองที่ดีได้นั้น ผู้ปกครองจะต้องปกครองใจตนเองให้ได้ก่อน
ปัจเจกบุคคลต้องพัฒนาตนเองก่อนจะไปปฏิรูปสังคม
เมื่อใจตั้งอยู่ในคุณธรรมก็จะปกครองครอบครัวได้
แล้วจึงจะสามารถปกครองสังคมได้
ขงจื๊อสรุปว่า หัวใจของการปกครองนั้น คือ ความเป็นผู้เคร่งครัดในหน้าที่
ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตน ผู้ปกครองทำหน้าที่ของผู้ปกครอง
ข้าราชการทำหน้าที่ของข้าราชการ บิดาทำหน้าที่ของบิดา
บุตรทำหน้าที่ของบุตร รัฐจึงจะมีสันติสุข
ไม่ว่าจะพิจารณาคำสอนของขงจื๊อในแง่ใด หัวใจสำคัญจะอยู่ที่ปัจเจกบุคคลและการพัฒนาจิตใจตนเองไปสู่ความเป็นมนุษย์เสมอ
ลักษณะอื่นๆของคนดี
ขงจื๊ออธิบายว่า คนดีต้องปฏิบัติสิ่งที่เขาสอนได้ก่อน
แล้วจึงค่อยสอนผู้อื่นในสิ่งที่เขาปฏิบัติ คนดีเข้าใจความดี
ยึดมั่นในคุณธรรม ชอบความเรียบง่าย
มนุษย์ในอุดมคติของขงจื๊อยังมีคุณสมบัติอื่นๆอีก
ได้แก่
- รู้จักไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนจะพูดออกมา
- เป็นคนเด็ดเดี่ยวและจิตใจมั่นคง
- มีความกล้าหาญ
- ปราศจากวิตกจริต
- เป็นคนน่านับถือ ขยันหมั่นเพียร ใจเปี่ยมด้วยเมตตาและขันติธรรม
คัมภีร์ของศาสนาขงจื๊อ
เกงทั้ง 5 และซูทั้ง 4 คือ คัมภีร์ของศาสนาขงจื๊อ
คำว่าเกงหรือกิง แปลว่า “เล่ม” (Volume) หรือ
“วรรณคดีชั้นสูง” (Classics) ส่วนคำว่า “ซู” แปลว่า
“หนังสือตำรา” (Books)
เกงหรือกิงทั้ง 5
1.ยิกิง (Yi-King) คัมภีร์แห่งความเปลี่ยนแปลง
ว่าด้วยจักรวาล เป็นการรวบรวมตำราเก่าแก่และมีข้อเขียนที่ขงจื๊อขยายความ
2.ซูกิง ( Shu-King) คัมภีร์แห่งประวัติศาสตร์
กล่าวถึงเหตุการณ์และการปกครองประเทศในสมัยประมาณ
2400 ปีก่อนคริสตศักราช
3.ซีกิง (Shi-King) คัมภีร์แห่งบทกวี เช่น บทกวีสำหรับทำพิธีบูชาฟ้าดิน
4.ลิกิง (Li-King) คัมภีร์แห่งพิธีกรรม มิใช่ว่าด้วยศาสนพิธีเท่านั้นแต่ยังรวมถึงมารยาท
ทางสังคมด้วย
5.ชุนชิว (Chun-Tsiu) คัมภีร์แห่งจดหมายเหตุฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
เป็นบันทึกเหตุการณ์ในแคว้นลู้ ที่ขงจื๊อเคยอยู่
กล่าวถึงบ้านเมืองที่ผู้ปกครองมีศีลธรรม
คัมภีร์ทั้ง 5 นี้ได้รับความยกย่องให้เป็นวรรณคดีชั้นสูงของจีนด้วย
ซูทั้ง 4
1.ต้าเซี่ยว (Ta Hsio) คัมภีร์แห่งการศึกษาขั้นสูง
มีข้อความเกี่ยวกับศีลธรรม เชื่อกันว่าเป็นข้อเขียนของขงจื๊อเอง
2.จุนยุง (Chun-Yung) คำสอนเรื่องทางสายกลาง มีข้อความเกี่ยวกับความรู้จักประมาณตน
3.ลุนยู (Lun-Yu) เป็นประมวลคำสอนของขงจื๊อ ซึ่งบรรดาศิษย์ของขงจื๊อรวบรวมไว้
4.เม่งจื๊อ (Meng Tze) ข้อเขียนเกี่ยวกับขงจื๊อที่เม่งจื๊อซึ่งเป็นศิษย์ของขงจื๊อเขียนไว้
ในสมัย 100 ปีต่อมา
เม่งจื๊อ
เม่งจื๊อมีชีวิตอยู่ระหว่างปี 371 กับ 289 ก่อนคริสตกาล
เกิดที่มณฑลชานตุงเช่นเดียวกับขงจื๊อ มีอาชีพครูเช่นเดียวกับขงจื๊อ
และรับราชการฝ่ายพลเรือนเหมือนกัน เม่งจื๊อศึกษาปรัชญาขงจื๊อกับหลานของขงจื๊อ
จึงนับได้ว่าเม่งจื๊อเป็นศิษย์ของขงจื๊อ
บทนิพนธ์ของเม่งจื๊อมีชื่อว่า “The Book of Mencius”
สาระสำคัญของปรัชญาเม่งจื๊อ
1. เม่งจื๊อคิดเหมือนขงจื๊อที่ว่า มนุษย์มีธรรมชาติที่ดีมาแต่กำเนิด
และมีความสามารถที่จะทำความดีเท่าเทียมกันถ้ามีความพยายาม
2. เม่งจื๊อสนับสนุนให้ราษฎรมีสิทธิและเสรีภาพ
3. มนุษยธรรม (jen)
4. ความถูกต้องชอบธรรม (li = ความเหมาะสม)
เม่งจื๊อรับหลักปฏิบัติสำหรับบุคคล 5 กลุ่มที่ขงจื๊อสอนมาไว้ในคำสอนของตน
(ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจกับผู้อยู่ใต้อำนาจ
บิดามารดากับบุตรธิดา พี่กับน้อง สามีกับภรรยา
และเพื่อนกับเพื่อน) และเน้นว่าทั้งสองฝ่ายต้องให้และรับไปพร้อมกัน
มิใช่ให้หรือรับอย่างเดียว เช่น ผู้มีอำนาจต้องให้ความเมตตาและยุติธรรมจึงสมควรจะได้รับความจงรักภักดีจากผู้อยู่ใต้อำนาจ
หากฝ่ายแรกขาดความเที่ยงธรรม ฝ่ายหลังก็ไม่จำเป็นต้องให้ความจงรักภักดี
นับว่าเม่งจื๊อช่วยเพิ่มสาระคำสอนในศาสนาขงจื๊อยิ่งขึ้น
สถานภาพของสตรี
ทั้งขงจื๊อและเม่งจื๊อเน้นคุณธรรม สอนให้สามีทำหน้าที่อย่างมีคุณธรรมต่อภริยา
ส่วนภริยาให้เชื่อฟังและเคารพสามี
อย่างไรก็ตาม ประมาณ 400 ปีหลังสมัยของเม่งจื๊อ
ประมาณคริสตวรรษที่สาม นักคิดกลุ่มที่เรียกตนเองว่าเป็นศิษย์ของขงจื๊อ
ได้ใช้ศาสนาขงจื๊อเป็นเครื่องมือรวบอำนาจให้แก่ฝ่ายปกครอง
โดยตั้งกฎที่เรียกว่า “พันธะ 3 ประการ” ขึ้นมา
“พันธะ 3 ประการ” นี้มีใจความว่า
1. กษัตริย์มีอำนาจเหนือเหล่าขุนนาง
2. พ่อมีอำนาจเหนือลูก
3. สามีมีอำนาจเหนือภรรยา
ทั้งนี้ ผู้ด้อยหรือไร้อำนาจซึ่งได้แก่ขุนนาง
ผู้เป็นลูก และภรรยาจึงมีแต่พันธะหน้าที่ต่อผู้มีอำนาจ
ต้องให้ความเชื่อฟังโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ “พันธะ
3 ประการ”เปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหงได้ตามใจชอบ
นักคิดกลุ่มนี้อ้างว่า“พันธะ 3 ประการ”มีไว้เพื่อให้สังคมสงบและความสัมพันธ์ของทุกคนในสังคมดำเนินไปอย่างราบรื่น
อนึ่ง ประเพณีการรัดเท้าผู้หญิงเป็นรูปแบบหนึ่งของการกดขี่ของนักคิดกลุ่มหลังนี้ด้วย
แนวคิดเรื่องความตาย
ศาสนาขงจื๊อไม่พูดถึงเรื่องโลกหน้า เชื่อว่า คนเราควรจัดการกับชีวิตปัจจุบันให้ดีที่สุด
ความตายเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิต
พิธีกรรม
ขงจื๊อเห็นความสำคัญของประเพณีโบราณ ได้รวบรวมและเรียบเรียงไว้เป็นจำนวนมาก
รวมทั้งประเพณีการบูชาฟ้าดิน และบูชาบรรพบุรุษด้วย
ศาสนาขงจื๊อจึงรับเอาประเพณีทั้ง 2 ซึ่งมีมาก่อนหน้านั้นหลายพันปีเข้ามาปฏิบัติ
พิธีกรรมในการบูชาแบ่งออกเป็น 2 อย่าง ดังนี้
1. พิธีบูชาขงจื๊อ เริ่มต้นเมื่อปี 195 ก่อน ค.ศ.
(พ.ศ. 348) พระจักรพรรดิจีนได้นำสัตว์ที่ฆ่าแล้ว
ไปทำพิธีบูชาที่หลุมฝังศพของขงจื๊อ และมีคำสั่งเป็นทางการให้มีการเซ่นไหว้ขงจื๊อเป็นประจำ
และให้สร้างศาลของขงจื๊อขึ้นในหัวเมืองสำคัญ เพื่อทำพิธีเซ่นไหว้
กำหนดให้วันที่ 27 สิงหาคมซึ่งือเป็นวันเกิดของขงจื๊อ
เป็นวันหยุดราชการประจำปีของจีน โดยต่อมาได้เปลี่ยนเป็นวันที่
28 กันยายน
2. พิธีบูชาฟ้า ดิน พระอาทิตย์ และพระจันทร์ ในปีหนึ่ง
จะมีรัฐพิธี 4 ครั้ง ดังนี้
2.1 พิธีบูชาฟ้า กระทำกันประมาณวันที่ 22 ธันวาคม
พระจักรพรรดิทรงเป็นประธานในพิธี มีการแสดงดนตรี
แห่โคมไฟ มีเครื่องเซ่นไหว้ เช่น อาหาร ผ้า ไหม
เหล้า เสร็จแล้วจะเผาเครื่องเซ่นไหว้ แท่นบูชาอยู่ทางทิศใต้ของกรุงปักกิ่ง
ทำด้วยหินอ่อนสีขาว มีระเบียงลดหลั่นเป็นชั้น
3 ชั้น
2.2 พิธีบูชาดิน เป็นการบูชาธรรมชาติหรือเทพประจำธรรมชาติ
ผู้ประกอบพิธีเป็นขุนนาง หรือข้าราชการ กระทำเป็นงานประจำปี
ประมาณวันที่ 21 หรือ 22 มิถุนายน แท่นบูชาอยู่ทางทิศเหนือของกรุงปักกิ่ง
สถานที่บูชามีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมมีน้ำล้อมรอบ
2.3 พิธีบูชาพระอาทิตย์ กระทำเป็นทางราชการประจำปี
ณ ที่บูชาทางประตูด้านตะวันออกของกรุงปักกิ่ง
ประมาณวันที่ 21 มีนาคม
2.4 พิธีบูชาพระจันทร์ กระทำเป็นทางราชการประจำปี
ณ ที่บูชาด้านทิศตะวันตกของกรุงปักกิ่ง ประมาณวันที่
22 หรือ 23 กันยายน
พิธีบูชาฟ้า ดิน พระอาทิตย์ และพระจันทร์ดังกล่าวมีมานานก่อนสมัยของขงจื๊อ
แต่ขงจื๊อเล็งเห็นคุณประโยชน์ต่อจิตใจ จึงรวบรวมประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้ไว้ในตำราของท่าน
กลายเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาขงจื๊อไปด้วย
ดาวน์โหลดเอกสาร
จัดทำโดย อ. มธุรส ศรีนวรัตน์,
B.A., M.A. (Innsbruck)
|