พุทธประวัติ


ทรงปลงอายุสังขาร มีมารมาเข้าพบเพื่อทวงถามเรื่องอะไร

           ครั้นพระอานนท์รับพระพุทธบัญชา ถวายบังคมลาออกไปนั่งอยู่ที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวิเวกไม่ไกลจากพระบรมศาสดาแล้ว ลำดับนั้น พญาวัสวดีมารผู้ใจบาป ก็ถือโอกาสเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทูลอาราธนาปรารภถึงความหลัง เมื่อครั้งแรกตรัสรู้ เสด็จอยู่ ณ ร่มไม้อชปาลนิโครธว่า เมื่อครั้งนั้น ได้ทูลอาราธนาให้เสด็จปรินิพพานแล้วแต่พระองค์ทรงห้ามว่า ตราบใดบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สาวกของตถาคตยังไม่เจริญมั่นคงก็ดี ศาสนาของตถาคตยังไม่แผ่ไพศาลไปทั่วโลกธาตุก็ดี ตราบนั้นตถาคตจะยังไม่ปรินิพพานก่อน ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้บริษัท ๔ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เจริญแพร่หลายแล้ว พระศาสนาได้ดำรงมั่นเป็นหลักฐาน สมดังมโนปณิธานแล้ว ขออาราธนาพระองค์เสด็จปรินิพพานเถิด

           พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า

           “ดูกรมาร ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด อย่าทุกข์ใจไปเลย ไม่ช้าแล้วตถาคตก็จักปรินิพพาน กำหนดกาลแต่นี้ล่วงไปอีก ๓ เดือนเท่านั้น”

           ครั้นพญามารได้สดับพระพุทธบัญชาเช่นนั้น ก็มีจิตโสมนัสยินดี แล้วก็อันตรธานจากสถานที่นั้นไป

           เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำหนดพระทัย ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ ในวันมาฆปุรณมี เพ็ญเดือน ๓ ครั้งนั้นก็บังเกิดมหัศจรรย์บันดาล พื้นแผ่นพสุธาธารโลกธาตุ ก็กัมปนาทหวั่นไหวประหนึ่งว่าแสดงความทุกข์ใจ อาลัยในพระผู้มีพระภาคเจ้า จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในกาลไม่นาน ต่อนี้ไปอีก ๓ เดือนเท่านั้น

           ขณะนั้นพระอานนท์เถระ ได้เห็นความอัศจรรย์ใจเพราะแผ่นดินไหวใหญ่นั้นก็มีความพิศวง จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามถึงเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวใหญ่ พระบรมศาสดาตรัสบอกเหตุแห่งแผ่นดินไหวใหญ่แก่พระอานนท์เถระว่า

           “อานนท์ แผ่นดินไหวด้วยเหตุ ๘ ประการคือ

           ๑.ลมกำเริบ
           ๒. ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล
           ๓. พระโพธิสัตว์จุติจากดุสิตลงสู่พระครรภ์
           ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ
           ๕. พระตถาคตเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
           ๖. พระตถาคตเจ้าแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร
           ๗. พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร
           ๘. พระตถาคตเจ้าปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

           อานนท์ เหตุ ๘ ประการนี้แลแต่ละอย่าง ย่อมทำให้แผ่นดินไหวได้”

           ต่อนั้น พระบรมศาสดาได้ทรงตรัสเล่าถึงเรื่องพญามาร ได้อาราธนาให้พระองค์ปรินิพพาน เริ่มแต่แรกตรัสรู้ จนถึงอาราธนาให้ปรินิพพานในวันนี้อีก ในที่สุดก็ตรัสว่า

           “บัดนี้ ตถาคตได้รับอาราธนาพญามารกำหนดปลงอายุสังขารอีก ๓ เดือนก็จักปรินิพพานแล้ว เพราะเหตุนั้นแผ่นดินจึงไหว”

           พระอานนท์เถระจึงกราบทูลว่า

           “ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงได้ทรงพระกรุณาดำรงพระชนมายุกัลป์หนึ่งเถิด เพื่อประโยชน์สุขเป็นอันมากแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย” “อย่าเลย อานนท์ เธออย่าวิงวอนตถาคตเลย บัดนี้มิใช่เวลาอันควรที่เธอจะวิงวอนตถาคตเสียแล้ว”

           แม้พระบรมศาสดาจะตรัสห้ามเช่นนั้นแล้ว พระอานนท์ก็ยังได้ทูลวิงวอนอยู่อีกถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง พระองค์จึงตรัสว่า

           “อานนท์ เธอยังเชื่อปัญญาความตรัสรู้ของตถาคตอยู่หรือ?”

           “เชื่อพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อมั่นในความตรัสรู้ของพระองค์”

           “ก็เมื่อเธอเชื่อมั่นเช่นนั้น ไฉนเธอจึงมาแค่นได้ วิงวอนตถาคตซึ่งห้ามเธออยู่ถึง ๓ ครั้งฉะนี้เล่า?”

           “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยข้าพระองค์ได้สดับรับรู้มาจากพระองค์ว่า ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาทภาวนา ๔ ประการนี้ ทำให้มากให้ชำนาญดีแล้ว ผิวะผู้นั้นประสงค์จะดำรงชนมายุอยู่นาน เขาก็จะพึงตั้งอยู่ได้ถึงกัลป์หรือเกินกว่า ก็อิทธิบาทภาวนานั้น พระองค์ทรงเจริญได้ดียิ่งแล้ว หากพระองค์ทรงพระประสงค์จะดำรงพระชนมายุอยู่ ก็จะดำรงอยู่ได้ถึงกัลป์หนึ่ง หรือยิ่งกว่า เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงได้กราบทูลวิงวอนอาราธนาถึง ๓ ครั้งดังนี้”

           “อานนท์ เธอเชื่อว่าอิทธิบาทภาวนามีอานุภาพถึงเช่นนั้นหรือ”

           “เชื่อ พระเจ้าข้า”

           “แล้วเพราะอะไรเล่า อานนท์ เมื่อตถาคตทำนิมิตโอภาสอันชัดซึ่งพอจะรู้ได้ อานนท์ก็กลับไม่รู้ไม่อาราธนา ไม่วิงวอนตถาคตในกาลอันควรจะอาราธนา เป็นความผิดของอานนท์ผู้เดียว”

           “อานนท์ ถ้าในคราวนั้นหากเธอจะรู้ทันและอาราธนาตถาคตแล้ว ตถาคตก็จะพึงห้ามสัก ๒ ครั้ง แล้วในครั้งที่ ๓ ตถาคตก็จะรับคำวิงวอนอาราธนานั้น ก็เมื่ออานนท์ไม่วิงวอนอาราธนาในเวลานั้น จึงเป็นความผิดพลาดของอานนท์ผู้เดียว”

           “อานนท์ ความจริงนิมิตโอภาสอันนี้ มิใช่ตถาคตจะแสดงแก่เธอในครั้งเดียวในที่นี้ก็หาไม่ ตถาคตได้แสดงแก่อานนท์ถึง ๑๖ ครั้ง ๑๖ ตำบล อานนท์คงจะยังระลึกได้อยู่ คือ ที่เมืองราชคฤห์ ๑๐ ตำบล คือ ๑.ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ๒. ที่โคตมนิโครธ ๓.ที่เหวสำหรับทิ้งโจร ๔.ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต ๕. ที่กาฬศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิบรรพต ๖. ที่สัปปิโสภณฑิกา ณ สีตวัน ๗. ที่ตโปทาราม ๘. ที่เวฬุวนาราม ๙. ที่ชีวกัมพวนาราม ๑๐.ที่มัททกุจฉิวัน กับที่เมืองไพศาลี ๖ ตำบล คือ ๑. ที่อุทเทนเจดีย์ ๒. ที่โคตมเจดีย์ ๓. ที่สัตตัมพเจดีย์ ๔. ที่พหุปุตตเจดีย์ ๕. ที่สารันทเจดีย์ ๖. ที่ปาวาลเจดีย์นี้เป็นครั้งสุดท้าย รวมเป็น ๑๖ ตำบลด้วยกัน”

           “อานนท์ ในวาระทั้ง ๑๖ ครั้งนั้น เป็นการที่ควรจะอาราธนาวิงวอนตถาคต อานนท์ก็ไม่รู้ไม่อาราธนาไม่วิงวอน หากใน ๑๖ ครั้งนั้นอานนท์จะพึงอาราธนาวิงวอนตถาคต ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ตถาคตก็จะพึงห้ามเสีย ๒ ครั้ง แล้วในครั้งที่ ๓ ตถาคตก็จะรับอาราธนาของอานนท์ เพราะอานนท์ไม่รู้ ไม่อาราธนา ไม่วิงวอน ปล่อยให้ล่วงเลยเวลาอันควรมา นั่นเป็นความผิดพลาดของอานนท์ผู้เดียว”

           “ตถาคตได้บอกเธอมาแต่เดิมแล้วมิใช่หรืออานนท์ว่า บรรดาสัตว์สังขารที่รักใคร่เจริญใจทั้งปวง ล้วนไม่คงทนถาวรอยู่ได้ตามใจประสงค์ ย่อมพลัดพรากจากไปเป็นอย่างอื่นสิ้น จะหาสิ่งซึ่งเที่ยง ยั่งยืนถาวรในสังขารนี้ได้ที่ไหน ทุกสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ย่อมมีความสลายตัวไปเป็นธรรมดา การที่จะร่ำร้องว่า ขอสิ่งนั้นอย่าได้ฉิบหายเลย ย่อมไม่เป็นฐานะที่พึงได้ เป็นได้ดังประสงค์โดยแท้”

           “ดูกร อานนท์ สิ่งใดที่ตถาคตได้สละแล้ว คายแล้ว ปล่อยเสียแล้ว ละเสียแล้ว วางเสียแล้ว การที่ตถาคตจักคืนกลับมารับสิ่งนั้นเข้าไว้อีก เพราะเหตุแห่งชีวิต ไม่เป็นฐานะที่จะมีขึ้นได้เลย”

           “อานนท์ ทั้งคนหนุ่ม ทั้งคนแก่ ทั้งคนโง่ คนฉลาด คนจน คนมี ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยกันสิ้น เหมือนภาชนะดิน ถึงจะเล็ก ใหญ่ ดิบ สุก ประการใด ก็ย่อมมีความแตกทำลายเป็นที่สุดเหมือนกันหมดฉะนั้น”

           “สังขารทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา มีความเกิดในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับสลายลงในที่สุด พระนิพพานเป็นคุณชาติ ดับเสียซึ่งชาติ ชรา มรณะ เป็นเอกันตสุข ประเสริฐหาสิ่งเสมอมิได้ อานนท์ วัยของตถาคตล่วงลุถึงความชราแล้ว ชีวิตของตถาคตเหลืออยู่น้อยแล้ว ไม่ช้าก็จะละท่านทั้งปวง ท่านทั้งหลายจงมีสติ อย่าได้ประมาท พยายามกระทำที่พึ่งแก่ตน พึงรักษาจตุปาริสุทธิศีล มากอยู่ด้วยการเจริญสมณธรรมเป็นอันดี ผู้ใดมั่นอยู่ในอัปปมาทธรรม ประพฤติธรรมวินัยนี้ให้บริสุทธิ์ด้วยดี ผู้นั้นจักละเสียได้ซึ่งชาติสงสาร ถึงซึ่งฝั่งแห่งนิพพานอันเป็นที่สุดแห่งวัฏทุกข์”

           ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนาแก่พระอานนท์เถรเจ้าด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงรับสั่งแก่พระอานนท์ว่า

           “อานนท์ เราพร้อมกัน จะไปบ้านภัณฑุคาม ณ บัดนี้”

           เมื่อพระภิกษุสงฆ์พร้อมกันแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินไปยังบ้านภัณฑุคาม ประทับสำราญพระอิริยาบถโดยควรแก่พระอัธยาศัย แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท ณ บ้านภัณฑุคามนั้นให้ตั้งอยู่ในอริยธรรมคือ ศีลสมาธิ ปัญญา วิมุตติ อันเป็นธรรมนำให้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งมวล

           ต่อนั้นพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ได้เสด็จไปสู่บ้านหัตถีคามและอัมพคาม และชัมพุคาม และเมืองโภคนคร โดยลำดับ ประทับอยู่ที่โภคนคร แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทชาวเมืองนั้น ต่อนั้น จึงได้เสด็จไปยังเมืองปาวานคร เสด็จเข้ายับยั้งอาศัยที่อัมพวันสวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร คือบุตรนายช่างทองซึ่งอยู่ใกล้เมืองนั้น


คัดมาจาก
พุทธประวัติทัศนศึกษา โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)
           http://dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm

back>>