|
ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จจากพระนครไพศาลี
มาประทับยังพระเวฬุวันวิหาร ณ พระนครราชคฤห์ อีกวาระหนึ่ง...
เศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในพระนครราชคฤห์ ได้ไม้จันทร์แดงท่อนใหญ่มาท่อนหนึ่งมีค่ามาก
ดำริว่า
บัดนี้ มีมหาชนโจษจันกันทั่วไปว่า ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์
ผู้นี้เป็นพระอรหันต์ แม้สมณะก็มีหลายท่าน ที่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์
เราไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์ ที่เราควรจะเคารพนบไหว้
แล้วยอมตนเป็นสาวก บัดนี้ เห็นควรจะทดลองให้ปรากฏชัดแก่ตาของเราเอง
จึงให้ช่างไม้กลึงไม้จันทร์แดงท่อนนั้นเป็นบาตร
ให้เอาไม้ไผ่มาปักลงที่หน้าเรือน ต่อไม้ไผ่ให้สูงถึง
๑๕ วา แล้วให้เอาบาตรผูกแขวนไว้บนปลายไม้นั้น
ให้ประกาศว่า
ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่ ขอเชิญให้ท่านผู้นั้นจงเหาะมาในอากาศ
แล้วถือเอาบาตรไม้จันทร์แดงนี้ตามปรารถนา และข้าพเจ้าพร้อมด้วยบุตรภรรยาจะเคารพนบนอบยอมตนเป็นสาวก
นับถือบูชาตลอดชีวิต หากภายใน ๗ วันนี้ ไม่มีผู้ใดที่ทรงคุณ
เป็นพระอรหันต์ เหาะมาถือบาตรแล้ว เราจะถือว่า
ในโลกนี้ ไม่มีพระอรหันต์ดังที่มหาชนกล่าวขวัญถึงเลย......
ในเวลานั้น ได้มีบุคคลหลายคนที่แสดงตนว่า เป็นพระอรหันต์
ด้วยอุบายต่างๆ และจะขอรับบาตรไป แต่มิได้เหาะไปถือเอาตามประกาศ
ท่านเศรษฐีก็ยืนกรานไม่ยอมให้ทุกราย แม้เวลาจะได้ล่วงเลยไปแล้ว
๖ วัน จนเข้าวันที่ ๗ แล้ว ก็ยังไม่ปรากฎว่า มีผู้ใดได้เหาะมาถือเอาบาตรตามประกาศของท่านราชคฤห์เศรษฐีนั้น
ประจวบกับในเช้าวันนั้น ท่านมหาโมคคัลลานะเถระ
กับพระปิณโฑลภารทวาชะเถระ ได้ร่วมทางเดินมารับบาตรในพระนครคฤห์
หยุดยืนห่มจีวรอยู่ที่พื้นหินก้อนใหญ่ในภายนอกเมือง
พระมหาเถระทั้งสองได้ยินเสียงมหาชนสนทนากันว่า
วันนี้เป็นวันที่ ๗ วันสุดท้ายของวันประกาศ ของท่านราชคฤห์เศรษฐีแล้ว
ยังไม่ปรากฏว่า มีพระอรหันต์องค์ใด เหาะมาถือบาตรไม้จันทร์แดงไปเลย
พระอรหันต์คงจะไม่มีอยู่ในโลกนี้แน่แล้ว วันนี้แหละเราจะได้รู้ทั่วกันว่า
ในโลกนี้จะมีพระอรหันต์จริงหรือไม่??
พระมหาโมคคัลลานะเถระได้ปราศรัยกับพระปิณโฑลภารทวาชะเถระว่า
ได้ยินไหมท่าน ? ผู้คนกำลังกล่าวดูหมิ่นพระศาสนา
เป็นการเสื่อมเสียถึงเกียรติพระบรมศาสดา ตลอดถึงพระอรหันต์ทั้งหลายด้วย
ฉะนั้น นิมนต์ท่านเหาะไปเอาบาตรไม้จันทร์แดงลูกนั้นเสียเถิด
จะได้เปลื้องคำนินทาว่าร้ายนั้นเสีย
เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะเถระ ได้โอกาสจากพระมหาโมคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกเช่นนั้นแล้ว
ก็เข้าสู่จตุตถฌาน อันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญา ทำอิทธิปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศ
กับทั้งแผ่นหินใหญ่ ซึ่งยืนเหยียบอยู่นั้นด้วย
เลื่อนลอยไปดุจปุยนุ่นปลิวไปตามสายลม
พระเถระเจ้าเหาะเวียนรอบพระนครราชคฤห์ ปรากฏแก่มหาชนทั่วไป
ชนทั้งหลายพากันเอิกเกริกร้องชมปาฏิหาริย์เสียงลั่นสนั่นไป
ครั้นพระมหาเถระเจ้าเหาะเวียนได้ ๗ รอบแล้ว ก็สลัดแผ่นหินที่เหยียบอยู่นั้น
ให้ปลิวตกไปยังที่เดิม แล้วเหาะมาลอยอยู่เบื้องบนแห่งเรือนท่านเศรษฐีนั้น......
เมื่อท่านเศรษฐีได้เห็นเช่นนั้น ก็เกิดปีติเลื่อมใสสุดที่จะประมาณ
ได้หมอบกราบจนอุระจดถึงพื้น แล้วร้องอาราธนาพระเถระเจ้าให้ลงมาโปรด
เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะเถระลงมานั่งบนอาสนะที่ท่านเศรษฐีได้จัดตกแต่งไว้เป็นอันดีแล้ว
ท่านเศรษฐีก็ให้นำบาตรไม้จันทน์แดงนั้นลงมาบรรจุอาหารอันประณีตลงในบาตรนั้นจนเต็ม
แล้วน้อมถวายพระเถระเจ้าด้วยคารวะอันสูง พระเถระเจ้ารับบาตรแล้ว
ก็บ่ายหน้ากลับยังวิหาร..
ฝ่ายชนทั้งหลายที่ไปธุระกิจในที่อื่นเสีย กลับมาไม่ทันได้เห็นปาฏิหาริย์นั้น
ก็รีบพากันติดตามพระเถระเจ้าไปเป็นอันมาก ร้องขอให้ท่านเมตตาแสดงปาฏิหาริย์ต่าง
ๆ ให้ชมบ้าง พระเถระเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ชนทั้งหลายนั้นชมตามปรารถนา
แล้วไปสู่วิหาร
พระบรมศาสดาได้ทรงสดับเสียงมหาชนอื้ออึง ติดตามพระปีณโฑภาระทวาชะมาเช่นนั้น
จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า
“ เสียงอะไร ”
พระอานนท์ก็กราบทูลให้ทรงทราบ จึงรับสั่งให้หาพระปิณโฑลภารทวาชะเถระมาถาม
ครั้นทรงทราบความแล้ว ก็ทรงตำหนิว่า เป็นการไม่สมควร
แล้วโปรดให้ทำลายบาตรไม้จันทน์แดงนั้น ย่อยให้เป็นจุณ
แจกพระสงฆ์ทั้งหลายบดให้เป็นโอสถใส่จักษุ ทั้งทรงบัญญัติห้ามสาวกทำปาฏิหาริย์สืบไป
ฝ่ายเดียรถีย์ทั้งหลายได้ทราบเหตุนั้นแล้ว ก็พากันดีใจ
คิดเห็นไปว่า ตนได้โอกาสจะยกตนแล้ว ก็ให้เที่ยวประกาศว่า
“ เราจะทำปาฏิหาริย์แข่งฤทธิ์กับพระสมณะโคดม
ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรูราชทรงสดับข่าวเช่นนั้น
ก็เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลถามว่า
“ ได้ทราบว่า พระองค์ทรงบัญญัติห้ามพระสาวกทำปาฏิหาริย์หรือประการใด
? ”
เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับว่า
“ดูกร มหาบพิตร เป็นจริงอย่างที่ทรงทราบ ”
พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทูลต่อไปอีกว่า
“บัดนี้ พวกเดียรถีย์ กำลังเตรียมการทำปาฏิหาริย์
พระองค์จะทำประการใด?”
“ดูกรมหาบพิตร ทรงรับสั่ง ถ้าเดียรถีย์ทำปาฏิหาริย์
ตถาคตก็จะทำบ้าง “
“ข้าแต่พระสุคต ก็พระองค์ทรงบัญญัติห้ามทำปาฏิหาริย์แล้ว
มิใช่หรือ? “
“จริงอย่างมหาบพิตรรับสั่ง แต่ตถาคตห้ามเฉพาะพระสาวกเท่านั้น
หาได้ห้ามการทำของตถาคตเองไม่ “
“ข้าแต่พระบรมครู พระองค์ทรงบัญญัติห้ามผู้อื่น
แต่พระองค์เว้นไว้เช่นนั้นหรือ “
“...ดูกรมหาบพิตร ผิฉะนั้น ตถาคตจะถามพระองค์บ้าง
พระราชอุทยานของมหาบพิตรทั้งหลายนั้น ถ้าคนทั้งหลายมาบริโภคผลไม้ต่าง
ๆ มีผลมะม่วง เป็นต้น ในพระราชอุทยานนั้น พระองค์จะทำอันใดแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น
“
“ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ก็จะให้ลงทัณฑ์แก่คนเหล่านั้น
“
“ดูกรมหาบพิตร ผิวะพระองค์เสวยผลไม้ ในพระราชอุทยานนั้นเล่า
ควรจะได้รับอาชญาหรือไม่ ประการใด? “
“ข้าแต่พระบรมครู ข้าพระองค์เป็นเจ้าของ บริโภคได้
ไม่มีโทษ “
“ดูก่อนมหาบพิตร ตถาคตก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน
เหตุนั้น ตถาคตจึงจะทำยมกปาฏิหาริย์ เยี่ยงอย่างพุทธประเพณีสืบมา
“
พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถามว่า
“ เมื่อใด พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์ ”
“ นับแต่นี้ไปอีก ๔ เดือน ถึงวันเพ็ญอาสาฬหมาส
เดือน ๘ ตถาคตจึงจะทำปาฏิหาริย์”
“ พระองค์จะทรงทำ ณ สถานที่ใด พระเจ้าข้า ”
“ ดูกรมหาบพิตร ตถาคตจะทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ใกล้พระนครสาวัตถี
“
ครั้นเดียรถีย์ทั้งหลายได้ทราบข่าวนั้น ก็เตรียมพร้อมที่จะติดตามไปทำปาฏิหาริย์
ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับประกาศให้มหาชนทราบด้วยว่า
พระสมณะโคดมจะหนีเราไปทำปาฏิหาริย์ ณ เมืองสาวัตถี
เราทั้งหลายจะพากันติดตาม ไม่ยอมให้หนีไปให้พ้น
ส่วนพระบรมศาสดาเสด็จกลับจากบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์แล้ว
ก็เสด็จพระพุทธดำเดินไปพระนครสาวัตถี โดยลำดับแห่งมรรคา
ด้วยความสบายไม่รีบร้อน ประทับพักแรมตามระยะทาง
แม้เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายก็พากันติดตามพระบรมศาสดาจนถึงพระนครสาวัตถี
ครั้นถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้จัดสร้างมณฑป ประกาศแก่ชาวเมืองว่า
จะทำปาฏิหาริย์ที่มณฑปนั้น
ครั้งนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ทรงทราบข่าวว่า
พระบรมศาสดา เสด็จมาประทับยังพระเชตวันวิหารแล้ว
จึงเสด็จออกมาเฝ้าแล้วกราบทูลว่า
“ บัดนี้ เหล่าเดียรถีย์จัดทำมณฑป เพื่อแสดงปาฏิหาริย์
หม่อมฉันจะทำมณฑปถวาย เพื่อเป็นที่แสดงปาฏิหาริย์”
ครั้นพระบรมศาสดาทรงห้าม ก็ทูลถามว่า
“พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์ ณ สถานที่ใด? ”
พระบรมศาสดาตรัสว่า
“ ตถาคตจะทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ใกล้ร่มไม้คัณฑามพพฤกษ์
(ไม้มะม่วง) “
เมื่อเดียรถีย์ได้ล่วงรู้ข่าวนั้นแล้ว ก็ให้จัดการทำลายบรรดาต้นมะม่วงในบริเวณนั้นทั้งสิ้น
แม้แต่เมล็ดมะม่วงที่เพิ่งงอกขึ้น ก็มิให้มี เพื่อมิให้เป็นโอกาสแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทำปาฏิหาริย์ ดังพระวาจาที่ทรงรับสั่งแก่พระเจ้าปัสเสนทิโกศล
ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน ๘ เวลาเช้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จเข้าไปบิณฑบาต
ยังมิทันจะถึงพระนคร ขณะนั้น นายอุทยานบาล ชื่อว่า
คัณฑะผู้รักษาสวนหลวง ได้เห็นผลมะม่วงผลใหญ่ผลหนึ่ง
สุกอยู่บนต้น มีกิ่งใบบังอยู่ มดแดงตอมอยู่โดยรอบ
กาก็กำลังจ้องจะเข้าจิกกิน นายคัณฑะดีใจจึงไล่กาให้บินหนีไปแล้ว
สอยผลมะม่วงสุกนั้นลงมา มุ่งจะเอาไปถวายพระเจ้าปัสเสนทิโกศล
เดินมาในระหว่างทาง ก็ประจวบพบพระผู้มีพระภาคเจ้า
มีศรัทธาเลื่อมใส จึงได้น้อมผลมะม่วงสุกผลนั้นเข้าไปถวายพระบรมศาสดา
ครั้นพระองค์ทรงรับแล้ว ประสงค์จะประทับนั่งเสวยผลมะม่วง
ณ ที่ตรงนั้น พระอานนท์เถระเจ้าก็ปูลาดอาสนะถวายตามพระพุทธประสงค์
พร้อมกับเอาผลมะม่วงนั้น ทำเป็นอัมพปานะถวายให้ทรงเสวย...
ครั้นพระบรมศาสดาทรงเสวยอัมพปานะแล้ว จึงรับสั่งให้นายอุทยานบาลนั้นเอาเมล็ดมะม่วงนั้นปลูกที่พื้นดิน
ณ ที่ตรงนั้น แล้วพระบรมศาสดาก็ทรงอธิษฐานล้างพระหัตถ์รดเมล็ดมะม่วงนั้น
ซึ่งเพิ่งเพาะในขณะนั้น
ด้วยพระพุทธานุภาพ เมล็ดมะม่วงก็เริ่มงอกในทันใดนั้นเอง
แล้วเริ่มเกิดเป็นลำต้น แตกใบ แตกกิ่งก้านสาขาโดยลำดับ
จนต้นมะม่วงใหญ่สูงได้ ๑๒ วา ๒ ศอก พร้อมกับตกช่อ
ออกดอก ออกผล อ่อน แก่ สุก ถึงงอม หล่นตกลงภาคพื้นออกเกลื่อนกล่น
มหาชนเดินผ่านมาก็เก็บบริโภค มีรสหวานสนิท ไม่ช้าข่าวมะม่วงพิเศษ
ซึ่งเป็นของอัศจรรย์ก็แพร่ไปทั่วพระนคร ประชาชนก็พากันสัญจรหลั่งไหลมาชมเป็นอันมาก
สุดที่จะประมาณ
ลำดับนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศล จึงโปรดให้จัดรักษาต้นมะม่วง
ตลอดที่ในบริเวณนั้น ป้องกันมิให้ใครเข้ามาทำอันตราย
คนทั้งหลายมาชมแล้ว บ้างก็เก็บกินตามประสงค์ แล้วชวนกันด่าแช่งเหล่าเดียรถีย์ว่า
เป็นคนชั่วช้า มีเจตนาร้าย จ้างให้คนทำลายต้นมะม่วง
แม้แต่เมล็ดงอกก็ไม่ให้เหลือ เพื่อจะมิให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทำปาฏิหาริย์ให้สมจริงดังพระวาจา
บัดนี้ คัณฑามพพฤกษ์เกิดขึ้นเป็นลำดับสูงใหญ่ยิ่งกว่าที่เคยเห็นมาแต่กาลก่อนแล้วพวกเจ้าจะว่าประการใด
บางคนที่คนองกาย ก็เอาเมล็ดมะม่วงขว้างเดียรถีย์
เย้ยหยันให้ได้อาย
ในเวลาเที่ยงวันนั้นเอง ท้าวสักกะอมรินทราธิราชได้บันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดเป็นธุลีรอบบริเวณนั้น
พัดมณฑปของเดียรถีย์ทำลายลงสิ้น ทั้งบันดาลให้ฝนลูกเห็บใหญ่ตกถูกเดียรถีย์ทั้งหลาย
ไม่สามารถจะทนทานอยู่ได้ ต้องพากันหนีไปจากที่นั้นสิ้น
ปูรณกัสสปหัวหน้าเดียรถีย์ทั้งหลาย ได้รับความอับอาย
น้อยใจเป็นที่สุด ได้ใช้เชือกผูกหม้อข้าวยาคูพันเข้ากับคอของตนแล้วกระโดดลงแม่น้ำ
ทำลายชีวิตตนเองเสีย
ครั้นเพลาบ่าย ประชาชนทั้งหลายได้มาประชุมกัน
ณ บริเวณรอบต้นคัณฑามพพฤกษ์เป็นอันมาก
จึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฎี
เพื่อทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ประทับยืน ณ ที่หน้าพระวิหาร
ขณะนั้น พระสาวกและสาวิกาทั้งหลายที่มีฤทธิ์ ต่างก็เข้าเฝ้า
ขอประทานโอกาสทำปาฏิหาริย์ถวาย พระบรมศาสดาไม่ทรงประทาน
ต่อนั้นพระบรมศาสดาก็ทรงเข้าจตุตถฌานอันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญา
ทรงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศ เสด็จดำเนินไปมา
ณ พื้นรัตนจงกรม แล้วทรงนิรมิตพระพุทธนิรมิตเหมือนพระองค์ขึ้นองค์หนึ่ง
แสดงอิริยาบถให้ปรากฏสลับกับพระองค์ คือพระองค์เสด็จประทับยืน
พระพุทธนิรมิตเสด็จนั่ง พระองค์ประทับนั่ง พระพุทธนิมิตประทับยืน
ทุก ๆ อิริยาบถสลับกัน บางทีพระพุทธนิมิตตรัสถาม
พระองค์ตรัสตอบ พระองค์ตรัสถามบ้าง พระพุทธนิมิตตอบบ้าง
ในที่สุดทรงทำปาฏิหาริย์ให้เกิดท่อน้ำ ท่อไฟ พวยพุ่งออกจากพระกายเป็นคู่
ๆ รอบ ๆ พระกาย เป็นสาย ๆ ไม่ระคนกันสว่างงามจับท้องฟ้านภากาศ
เป็นมหาอัศจรรย์ยิ่งนัก
...ครั้งนั้น เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ประชุมกันชมพระพุทธปาฏิหาริย์มากมายสุดที่จะคณนา
พระบรมศาสดาทรงทำปาฏิหาริย์แล้ว ก็ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทที่สันนิบาตประชุมกันอยู่ในที่นั้น
ในเวลาจบพระธรรมเทศนา พุทธบริษัททั้งเทพดาและมนุษย์
ได้บรรลุอริยมรรคอริยผล เป็นอันมาก
คัดมาจาก พุทธประวัติทัศนศึกษา
โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)
http://dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm
|