|
วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จจาริกมายังมหาชนบท ประทับอยู่ที่อนุปิยะอัมพวันใกล้บ้านอนุปิยะมลานิคม
แขวงเมืองพาราณสี ครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่า
มหานามะ ผู้เป็นพระโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ผู้เป็นพระเจ้าอาของพระบรมศาสดา
เข้าไปหาพระอนุรุทธะ ผู้เป็นอนุชา ทรงปรารภว่า
“ ในตระกูลเรา ยังไม่มีใครออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดาเลย
ฉะนั้น ในเราสองคน คือ อนุรุทธะกับพี่ จะต้องออกบวชคนหนึ่ง
พี่จะให้อนุรุทธะเลือกเอา อนุรุทธะจะบวชหรือจะให้พี่บวช
”
เนื่องจากพระอนุรุทธะ เป็นพระโอรสพระองค์เล็ก
ของพระเจ้าอมิโตทนะ พระมารดารักมาก ทั้งเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ
มีบุญมาก ได้รับความรักใคร่เมตตาปราณีจากพระญาติทั้งหลายเป็นอันมาก
ดังนั้น อนุรุทธะกุมารจึงทูลว่า
“ หม่อมฉันบวชไม่ได้ดอก ขอให้เจ้าพี่บวชเถอะ ”
พระมหานามะจึงรับสั่งว่า
“ ถ้าอนุรุทธจะอยู่ ก็ต้องศึกษาเรื่องการครองเรือน
เรื่องบำรุงวงศ์ตระกูลให้จงดี”
และพระมหานามะ ก็ถวายคำแนะนำการครองชีพด้วยกสิกรรม
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ อนุรุทธะกุมารก็ฟังแล้วทรงระอาในการงานไม่รู้จักจบ
ต้องทำติดต่อกันไปไม่รู้สิ้น จึงรับสั่งว่า
“ ถ้าเช่นนั้น ให้เจ้าพี่อยู่เถอะ หม่อมฉันจะบวชเอง
รำคาญที่จะต้องไปวุ่นอยู่กับงานไม่รู้จักจบ ต้องทำติดต่อไม่รู้สิ้น
”
รับสั่งแล้วก็ลาพระมารดาขออนุญาตบรรพชาตามพระบรมศาสดา
พระมารดาตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง ภายหลังทรงอนุญาตเป็นนัยว่า
“ ถ้าพระภัททิยะราชกุมาร ผู้เป็นโอรสของพระนางกาฬีโคธาศากยะวงศ์
ผู้เป็นเพื่อนเล่นที่สนิทสนมของพ่อจะออกบรรพชา
พ่อจะบรรพชาด้วยก็ตามเถิด ”
พระอนุรุทธะก็ไปชวนพระภัททิยะ ให้ออกบวชด้วยกัน
แต่วิงวอนชวนอยู่ถึง ๗ วัน พระภัททิยะจึงยินยอมปฎิญญาว่าจะบวชด้วย
ในกาลนั้น กษัตริย์ทั้ง ๖ องค์ คือ พระภัททิยะ
๑ พระอนุรุทธะ ๑ พระอานนท์ ๑ พระภัคคุ ๑ พระกิมพิละ
๑ พระเทวทัต ๑ ได้พร้อมใจกันจะออกบรรพชา และชวน
อุบาลีอำมาตย์ (ช่างกัลบก) ๑ เป็น ๗ ด้วยกัน เดินทางไปสู่มลรัฐชนบทเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาที่อนุปิยะอัมพวัน
ถวายอภิวาทแล้ว ขอประทานบรรพชาอุปสมบท
แต่ก่อนที่พระบรมศาสดาจะทรงประทานบรรพชา พระอนุรุทธะได้กราบทูลว่า
“ ข้าแต่ผู้มีพระภาค ข้าพระองค์เป็นกษัตริย์ สูงด้วยขัตติยะมานะอันกล้า
ขอให้พระองค์ประทานบรรพชาแก่อุบาลี อำมาตย์ ผู้รับใช้สอยติดตาม
ของมวลข้าพระองค์ก่อน ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้บรรพชาต่อภายหลัง
จะได้คารวะ ไหว้นบ เคารพนับถืออุบาลี ผู้บวชแล้วก่อน
บรรเทาขัตติยะมานะให้บางเบาจากสันดาน ”
พระบรมศาสดาจึงได้ประทานอุปสมบทแก่อุบาลี กัลบกก่อน
แล้วจึงประทานอุปสมบทแก่ ๖ กษัตริย์ในภายหลัง
พระภัททิยะ นั้น ได้สำเร็จไตรวิชา พระอรหัตตผลในพรรษานั้น
พระอนุรุทธะ ได้บรรลุทิพพจักษุญาณ ก่อน ภายหลังได้ฟังพระธรรมเทศนา
มหาปุริสวิตักสูตร จึงสำเร็จพระอรหัตตผล
พระอานนท์ นั้น ได้บรรลุอริยะผลเพียงพระโสดาบัน
พระภัคคุ และ พระกิมพิละ เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ได้บรรลุพระอรหัตตผล
ส่วนพระเทวทัตนั้น ได้ บรรลุปุถุชนฤทธิ์ อันเป็นของโลกิยะบุคคล
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จจาริกไปประทับ ณ เมืองโกสัมพี
ครั้งนั้น ลาภสักการะบังเกิดแก่พระองค์กับทั้งภิกษุสงฆ์สาวกเป็นอันมาก
คนทั้งหลายถือสักการะ มีจีวร บิณฑบาต เภสัช อัฎฐบาน
เป็นต้น เข้ามาสู่วิหาร ถวายแก่พระสงฆ์สาวกเป็นเนืองนิตย์
ส่วนมากทุก ๆ คนที่มา ย่อมถามถึงแต่พระอัครสาวกทั้งสอง
และพระสาวกองค์อื่น ๆ ว่า ท่านอยู่ ณ ที่ใด แล้วพากันไปเคารพนบไหว้สักการบูชา
ไม่มีใครถามถึงพระเทวทัตแม้แต่ผู้เดียว
พระเทวทัตเกิดความโทมนัสน้อยใจ ตามวิสัยของปุถุชน
จำพวกที่มากด้วยความอิจฉา ฤษยา คิดว่า เราเป็นกษัตริย์ศากยะราชสกุลเหมือนกัน
ออกบรรพชากับด้วยกษัตริย์ขัตติวงศ์นั้น ๆ แต่ไม่มีใครนับถือ
ถามหา น่าน้อยใจ
เมื่อคิดดังนี้แล้ว ก็เกิดตัณหาในลาภสักการะ เข้าครอบงำจิต
คิดใคร่จะได้ลาภสักการะ สัมมานะ เคารพนับถือ แล้วก็คิดต่อไปว่า
เราจะทำบุคคลผู้ใดให้เลื่อมใส กราบไหว้บูชาดีหนอ
จึงจะบังเกิดลาภสักการะ
ครั้นคิดต่อไปก็มองเห็นอุบายทันทีว่า พระอชาตศัตรูราชกุมาร
พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสารนั้น ยังทรงพระเยาว์
ยังไม่รอบรู้คุณและโทษแห่งบุคคลใด ๆ ควรจะไปคบหาด้วยพระราชกุมารนั้นเถิด
ลาภสักการะก็จะพลันบังเกิดเป็นอันมาก
ครั้นดำริดังนั้นแล้ว ก็หลีกจากเมืองโกสัมพีไปสู่เมืองราชคฤห์
แล้วนิรมิตกายเป็นกุมารน้อย เอาอสรพิษ ๔ ตัว ทำเป็นอาภรณ์ประดับมือและเท้า
ขดทำเป็นเทริดบนศีรษะ ๑ ตัว ทำเป็นสังวาลพันกาย
๑ ตัว สำแดงปาฏิหาริย์ปุถุชนฤทธิ์ของตนเหาะไปยังพระราชนิเวศน์
ลอยลงจากอากาศ ปรากฏกายอยู่เฉพาะหน้าพระอชาตศัตรูราชกุมาร
ครั้นพระราชกุมารตกพระทัยกลัว ก็ทูลว่า
“ อาตมา คือพระเทวทัต ”
แล้วเจรจาเล้าโลมให้พระราชกุมารหายกลัว สำแดงกายเป็นพระทรงไตรจีวรและบาตร
ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระราชกุมาร เมื่อพระราชกุมารเห็นปาฏิหาริย์เช่นนั้น
ก็ทรงเลื่อมใส เคารพนับถือ ถวายลาภสักการบูชาเป็นอันมาก
ภายหลัง พระเทวทัตเกิดบาปจิตคิดใฝ่สูง ด้วยอำนาจตัณหา
มานะครอบงำจิตคิดผิดไปว่า เราสมควรจะเป็นผู้ครองพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง
พอดำริดังนั้น ปุถุชนฤทธิ์ของตนก็เสื่อมสูญพร้อมกับจิตตุบาท
ครั้นคิดดังนั้นแล้ว ก็เดินทางมาเฝ้าพระพระบรมศาสดา
ซึ่งประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร ณ เมืองราชคฤห์
ในเวลาที่พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมแก่มวลพุทธบริษัท
ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารมหาราชประทับเป็นประธานอยู่
เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว พระเทวทัตได้กราบทูลว่า
“ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้พระองค์ทรงชราภาพแล้ว
จงเสวยทิฎฐธรรมสุขวิหารสำราญพระกมล มีความขวนขวายน้อยเถิด
ข้าพระองค์จะรับภาระธุระช่วยว่ากล่าวครอบครองภิกษุสงฆ์ทั้งปวง
ขอพระองค์จงมอบเวรพระภิกษุสงฆ์สาวกทั้งสิ้นให้แก่ข้าพระองค์เถิด
ข้าพระองค์จะได้ว่ากล่าวสั่งสอนแทนพระองค์สืบไป
”
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับ จึงตรัสห้ามว่า
“ ไม่ควร ” ไม่ทรงอนุญาตให้เป็นไปตามความปรารถนาของพระเทวทัต
พระเทวทัตก็โทมนัส ผูกอาฆาตในพระบรมศาสดา จำเดิมแต่นั้นมา
พระบรมศาสดาได้ทรงประกาศความประพฤติอันไม่ดีอันไม่งามของพระเทวทัต
ซึ่งเกิดขึ้นด้วยจิตลามกให้พระสงฆ์ทั้งหลายทราบ
เพื่อให้ภิกษุที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ จะได้สังวรระวังจิตมิให้วิปริตไปตาม
ต่อมาพระเทวทัตคิดการใหญ่ ปรารถนาจะทำอันตรายแก่พระผู้มีพระภาค
จึงเข้าไปเฝ้าพระอชาตศัตรูราชกุมาร แล้วด้วยอุบายทูลว่าแต่ก่อนมนุษย์ทั้งหลายมีอายุยืน
บัดนี้อายุของมนุษย์น้อยถอยลง หากพระองค์สิ้นพระชนม์เสียก่อนพระราชบิดา
แต่เวลายังหนุ่มอยู่แล้ว ไฉนพระองค์จะได้รับราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์
เสวยพระราชสมบัติสมดังพระทัยที่ปรารถนาไว้เล่า
ฉะนั้นพระองค์จงปลงพระชนม์ชีพพระราชบิดา จัดการสถาปนาพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์
เสวยราชสมบัติเสียตั้งแต่บัดนี้เถิด แม้อาตมาก็จะฆ่าพระสมณะโคดมเสีย
จะได้เป็นพระบรมศาสดา ปกครองพระสงฆ์ทั้งปวงเช่นเดียวกัน
คัดมาจาก พุทธประวัติทัศนศึกษา
โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)
http://dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm
|