|
พระเจ้าสุทโธนะกราบทูลว่า
“ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระนางพิมพาเทวี เป็นชนปทกัลยาณี
มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ สุดจะหาสตรีที่ใดเสมอได้
นับแต่พระองค์เสด็จจากพระนครไป สิ่งอันใดที่ก่อให้เกิดราคี
เสื่อมศรีเสียเกียรติยศแล้ว พระนางจะห่างไกลไม่กระทำ
เฝ้าแต่รำพันถึงคุณสมบัติของพระองค์ แล้วก็โศกเศร้าอาดูร
มิได้ใส่ใจถ่อยคำของผู้ใดจะช่วยแนะนำให้บรรเทาความเศร้าโศก
ไม่สนใจในการตกแต่งกายทุกอย่าง เลิกเครื่องสำอางทุกชนิด
เมื่อได้ทราบว่าพระองค์ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ พระนางก็จัดหาผ้ากาสาวพัสตร์มาใช้ตามพระองค์ตลอดจนทุกวันนี้
ได้ทราบข่าวว่าพระองค์อดพระกระยาหาร ทรมานกาย
พระนางก็พอใจอดพระกระยาหารตามเสด็จตลอดเวลา จะหาสตรีที่มีความจงรักภักดีเช่นนี้
เห็นสุดหา ”
“ อนึ่ง นับแต่พระองค์เสด็จมาสู่พระราชนิเวศน์เข้า
๓ วันนี้ พระนางพิมพาก็มิได้มาเฝ้า เศร้าโศกอยู่แต่ในห้องผทม
ตั้งใจอยู่ว่าพระองค์คงจะเสด็จเข้าไปหายังห้องที่เคยเสด็จประทับในกาลก่อน
หากพระองค์จะไม่เสด็จไปยังห้องของพระนางแล้ว พระนางคงจะเสียพระทัยถึงแก่วายชีวิตเป็นแน่แท้
หม่อมฉันขออาราธนาพระองค์เสด็จไปโปรดพระนางพิมพาเทวี
ขอให้ทรงพระกรุณาประทานชีวิตแก่พระนางผู้มีความจงรักภักดีในครั้งนี้ด้วยเถิด
”
พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า
“ ดูกรพระราชสมภาร อันพระนางพิมพาเทวีมารดาราหุลกุมาร
มีความจงรักภักดีต่อตถาคต สมจริงดังพระองค์รับสั่งทุกประการ
และก็สมควรที่ตถาคตจะไปอนุเคราะห์พระนางให้สมมโนรถ
เพื่อบรรเทาความเศร้าโศก ให้ได้รับความสดชื่น
สุขใจ ในอมตธรรมตามควรแก่วาสนา ด้วยพระนางมีคุณแก่ตถาคตมามากยิ่งนัก
ในอดีตกาล ได้ช่วยตถาคตบำเพ็ญมหาทานบารมีมากกว่าแสนชาติ
"
ครั้นแล้วก็รับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายรออยู่ที่ปราสาทราชนิเวศน์
ให้ตามเสด็จแต่พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ อัครสาวก
๒ องค์ เป็นปัจฉาสมณะ แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินไปยังปราสาทของพระนางพิมพาเทวี
พลางมีพระวาจารับสั่งแก่อัครสาวกว่า
“ พระมารดาราหุลนี้ มีคุณแก่ตถาคตเป็นอันมาก ผิว่านางจะจับบาทตถาคตลูบคลำสัมผัส
และโศกเศร้าอาดูรพิลาปร่ำไห้ ด้วยกำลังเสน่หา
ท่านทั้งสองอย่าได้ห้ามปราม ปล่อยตามอัธยาศัย
ให้พระนางพิไรรำพันปริเวทนาจนกว่าจะสิ้นโศก ผิว่าไปห้ามเข้า
นางก็ยิ่งเพิ่มความเศร้าเสียพระทัยถึงชีวิต ไม่ทันได้สดับพระธรรมเทศนา
ตถาคตยังเป็นหนี้พิมพามิได้เปลื้องปลด จะได้แทนทดใช้หนี้แก่พิมพาในกาลบัดนี้”
ครั้นตรัสบอกอัครสาวกทั้งสองแล้ว ก็เสด็จพระพุทธลีลาเข้าไปในห้องแห่งประสาท
ขึ้นสถิตบนรัตนบัลลังก์อาสน์อันงามวิจิตร
ฝ่ายนางสนมทั้งหลาย ครั้นได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับอยู่บนปราสาท
จึงรีบไปทูลความแด่พระนางพิมพาว่า
“ บัดนี้ พระสิทธัตถะราชสวามีของพระนางเจ้า ได้เสด็จมาประทับยังห้องแห่งปราสาทของพระนางแล้ว
”
เมื่อพระนางพิมพาเทวีทรงสดับ ก็ลุกจากที่ประทับ
จูงหัตถ์พระราหุล ราชโอรสกลั้นความกำสรดโศก แล้วก็เสด็จคลานออกจากพระทวารสถานที่สิริไสยาสน์
ตรงเข้ากอดบาทพระบรมศาสดา แล้วซบพระเศียรลงถวายนมัสการ
พลางทรงพิลาปกราบทูลสารว่า
“ โทษกระหม่อมฉันนี้มีมาก เพราะเป็นหญิงกาลกิณี
พระองค์จึงเสด็จหนีให้อาดูรด้วยเสน่หา แต่เวลายังดรุณภาพ
พระองค์มิได้ตรัสบอกให้ทราบ แสร้งทรงสละข้าพระบาทไว้ไม่มีอาลัย
ดุจก้อนเขฬะบนปลายพระชิวหา อันถ่มออกจากพระโอฐมิได้โปรดปราน
เสด็จบำราศร้างจากนิวาสน์สถานไปบรรพชา ถึงมาตรว่า
ข้าพระบาทพิมพานี้มีโทษแล้ว ส่วนลูกแก้วราหุลราชกุมาร
เพิ่งประสูติจากพระครรภ์ในวันนั้น ยังมิทันได้รู้ผิดชอบประการใด
นั้นมีโทษสิ่งไรด้วยเล่า พระผ่านเกล้าจึงแกล้งทอดทิ้งไว้ให้ร้างพระปิตุรงค์”
“ ประการหนึ่ง ข้าพระบาทของพระองค์นี้ โหราจารย์ญาณเมธีได้ทำนายไว้แต่ยังเยาว์วัยว่า
ยโสธราพิมพาราชกุมารี มีบุญญาธิการใหญ่ยิ่ง ควรเป็นมิ่งมเหษีอดุลกษัตริย์จักรพรรดิราช
คำทำนายนั้นก็เคลื่อนคลาดเพี้ยนผิด พิมพากลับวิปริตเป็นหญิงหม้ายชายร้างสิ้นราคา
”
เมื่อพระนางพิมพาเทวีปริเวทนามาฉะนี้ แล้วก็กลิ้งเกลือกพระอุตมางคโมลีเหนือหลังพระบาทพระศาสดา
ดูเป็นที่เวทนา
ส่วนสมเด็จพระพุทธบิดา ก็ได้กราบทูลพรรณนาถึงความดีของพระนางพิมพาเทวีศรีสะใภ้ว่า
“ จะหาสตรีคนใดเสมอได้ยากยิ่ง มีความจงรักภักดีต่อพระองค์จริงประจักษ์ตา
ทราบว่าพระองค์ผทมเหนือพื้นพสุธา พระนางก็ประพฤติตามเสด็จ
โดยผทมยังภาคพื้นเมทนีดล ครั้นทราบว่า พระองค์เว้นเครื่องสุคนธ์ลูบไล้
ตลอดดอกไม้บุบผชาติ พระนางก็เว้นขาดจากเครื่องประดับทุกประการ
ทั้งเครื่องลูบไล้สุมามาลย์ก็เลิกหมด เฝ้าแต่รันทดถึงพระองค์อยู่ไม่ขาด
แม้บรรดาพระประยูรญาติของพระนาง ในเทวหะนคร ส่งข่าวสารมาทูลวอนว่า
จะรับกลับไปบำรุงเลี้ยงรักษาปฏิบัติ พระนางก็บอกปัด
มิได้เล็งแลดูหมู่กษัตริย์ศากยะวงศ์พระองค์ใด
ตั้งพระทัยภักดีมีสัตย์ซื่อเสน่หาเฉพาะพระองค์ดำรงมา
ดังพรรณนามาฉะนี้”
เมื่อพระชินสีห์ได้ทรงเสวนาการ จึงมีพระพุทธบรรหารดำรัสว่า
“ ดูกรบรมบพิตร พระนางพิมพาเทวี จะได้มีจิตจงรักภักดี
ซื่อสัตย์ต่อสามีแต่ในชาตินี้เท่านั้น ก็หาไม่
พระมารดาราหุลนี้นั้น น้ำใจเป็นหนึ่งแน่ไม่แปรผันในสวามี
แม้ในอดีตกาล ครั้งเสวยชาติเป็นเดรัจฉานกินนรี
ก็มีจิตจงรักภักดีเลิศคุณดิลก ”
แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงจันทกินนรชาดกโดยพิสดาร บันเทาความโศกเศร้าปริเวทนาการของพระนางพิมพาให้เสื่อมหายคลายกำสรด
เสมือนหนึ่งหลั่งน้ำอมตรสลงตรงดวงจิตของพระนาง
ซึ่งเร่าร้อนด้วยเพลิงพิษคือกิเลสให้พลันดับ กลับให้ความสดชื่นเกษมสานต์
ส่วนพระนางพิมพาราชกัญญา ครั้นสร่างโศกสิ้นทุกข์
มีใจผ่องแผ่ว เบิกบาน ตั้งพระทัยสดับพระธรรมที่พระศาสดาทรงพระกรุณาประทานสืบไป
ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาทพระศาสดา
ด้วยความทราบซึ้งในพระมหากรุณา ที่ทรงอุตสาห์เสด็จมาประทานชีวิตให้สดชื่นรื่นรมย์
ทั้งประทานอมตธรรมให้ชื่นชม สมกับที่พระนางได้จงรักภักดีตั้งแต่ต้นมา
แล้วสมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จพระพุทธลีลา พร้อมด้วยพระสงฆ์
๒ หมื่น เสด็จคืนสู่พระนิโครธมหาวิหาร
คัดมาจาก พุทธประวัติทัศนศึกษา
โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)
http://dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm
|