|
|
|---|
พระบรมศาสดาทรงรับพระเวฬุวันเป็นสังฆารามแล้ว ทรงอนุโมทนาพาพระสงฆ์สาวกเสด็จกลับประทับยังพระเวฬุวันวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระศาสนาอันมโหฬาร ทั้งงามตระการตาและมั่นคง ควรแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมาแต่จตุรทิศจะพึงเข้าพำนักอยู่อาศัย เป็นความสะดวกสบายแก่สมณเพศ ที่โลกยกย่องว่าเป็นบุญเขตควรแก่การบูชา มหาชนมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หลั่งไหลกันมาสดับธรรมเทศนากันเป็นอันมาก เป็นอันว่าพระบรมศาสดาได้เริ่มประดิษฐานพระศาสนา เป็นหลักฐานลงที่พระเวฬุวันวิหาร ณ พระนครราชคฤห์ เกียรติศักดิ์เกียรติคุณแห่งพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่ไปในชุมนุมชนตามตำบลน้อยใหญ่เป็นลำดับ สมัยนั้น มีหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้กรุงราชคฤห์ ๒ หมู่บ้าน เรียกว่า อุปติสสคาม บ้าน ๑ โกลิตคาม บ้าน ๑ บุตรคนใหญ่ของนายบ้านอุปติสสคาม ซึ่งเกิดแต่นางสารีพราหมณี ชื่อ อุปดิสสะ บุตรคนใหญ่ของนายบ้านโกลิตคาม ซึ่งเกิดแต่นางโมคคัลลีพราหมณี ชื่อ โกลิตะ และเนื่องจากหมู่บ้านทั้งสองตั้งอยู่ไม่ไกลกัน มีฐานะทัดเทียมกัน ทั้งเคารพนับถือกันดี ดังนั้นบุตรของตระกูลทั้งสองนี้จึงรักใคร่ ไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม คบหาสมาคมกันทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ไว้วางใจกันเป็นอย่างดี อุปดิสสะ กับ โกลิตะ มีอายุคราวเดียวกัน เป็นสหชาติร่วมปีเกิด เดือนเกิด แต่อุปดิสสะแก่วันกว่า โกลิตะจึงเรียกอุปดิสสะว่าพี่ ในฐานะที่แก่กว่า คนทั้งสองเจริญวัยอยู่ในความอุปถัมภ์บำรุงของบิดามารดาเป็นอย่างดี มีเด็กในหมู่บ้านทั้งสองเป็นเพื่อนฝูงกันแต่เยาว์วัยก็มาก แม้เมื่อมีอายุควรแก่การศึกษาแล้ว คนทั้งสองตลอดมิตรสหายก็ได้เข้าศึกษาศิลปวิทยาในสำนักอาจารย์เดียวกัน แม้เมื่อจบการศึกษาแล้วก็ยังเป็นเพื่อนร่วมงาน ร่วมความสนุกสนานบันเทิงด้วยกันด้วยดีเสมอมาในการชมมหรสพ ถึงคราวสรวลเสเฮฮาก็สรวลเสเฮฮาด้วย ถึงคราวสลดใจก็สลดด้วย คราวเบิกบานใจ ควรตกรางวัลก็ตกรางวัลให้ด้วยกัน วันหนึ่งมีงานมหรสพบนภูเขา มีผู้คนไปมาก อุปดิสสมานพและโกลิตมานพก็ไปชมด้วยกัน แต่เป็นด้วยทั้งสองมานพมีบารมีญาณแก่กล้า ดูมหรสพด้วยพิจารณา เห็นความจริงของกัปปกิริยาอาการของคนแสดงและคนดู รวมทั้งตนเองด้วย ปรากฏอยู่ในสถานะที่ไม่น่าจะนิยมชมชื่นเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น การชมมหรสพก็ไม่ออกรส ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเหมือนแต่ก่อน หน้าตาก็ไม่เบิกบาน คิดว่าอีกไม่ถึง ๑๐๐ ปี ทั้งคนแสดงและคนดูก็ตายหมด ไม่เห็นมีประโยชน์อันใดในการมาดูมหรสพนี้เลย ควรจะแสวงหาโมกขธรรมประเสริฐกว่า ครั้นมานพทั้งสองได้ไต่ถามถึงความรู้สึกนึกคิด ทราบความประสงค์ตรงกันเช่นนั้นก็ดีใจ และอุปดิสสมานพก็กล่าวกับโกลิตมานพว่าสมควรจะบวชแสวงหาโมกขธรรมด้วยกันเถิด เมื่อตกลงใจออกบวชด้วยกันแล้วโกลิตมานพจึงปรึกษาว่า เราจะบวชในอาจารย์ใดดี สมัยนั้น สญชัยปริพาชก เป็นอาจารย์ใหญ่ อยู่ในเมืองราชคฤห์สำนักหนึ่งที่มีบริษัทบริวารมาก มานพทั้งสองจึงปรึกษาเห็นพร้อมกันว่าเราควรจะไปบวชในสำนักอาจารย์สญชัยปริพาชก ครั้นตกลงใจแล้วมานพทั้งสองต่างก็พาบริวารของตนรวม ๕๐๐ คน เข้าไปหาท่านอาจารย์สญชัยปริพาชก ขอบวชและศึกษาอยู่ในสำนักนั้น จำเดิมแต่มานพทั้งสองเข้าไปบวชเป็นศิษย์อยู่ในสำนักสญชัยปริพาชกไม่นาน สำนักนี้ก็เจริญเป็นที่นิยมของมหาชนเป็นอันมาก ลาภสักการะพร้อมด้วยยศก็เจริญยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่ออุปดิสสมานพและโกลิตมานพบวชเป็นปริพาชก ศึกษาลัทธิของอาจารย์สญชัยไม่นาน ก็สิ้นความรู้ของอาจารย์ จึงได้เรียนถามว่า “ท่านอาจารย์ ลัทธิของท่านอาจารย์มีเท่านี้แหละหรือ?” อาจารย์สญชัยก็บอกว่า “ลัทธิของเรามีเพียงเท่านี้ ท่านทั้งสองเรียนจบบริบูรณ์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ข้าพเจ้ารู้ โดยท่านไม่รู้เลย” แล้วตั้งให้อุปดิสสมานพและโกลิตมานพทั้งสอง เป็นอาจารย์สอนศิษย์ในสำนัก มีศักดิ์เสมอด้วยตน มานพทั้งสองปรึกษากันว่า การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักนี้หาประโยชน์มิได้ ด้วยไม่เป็นทางให้เข้าถึงโมกขธรรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการหลุดพ้นได้ ความจริงชมพูทวีปนี้ก็กว้างใหญ่ คงจะมีท่านที่มีความรู้สอนให้เราเข้าถึงโมกขธรรมได้ ควรจะเที่ยวสืบเสาะแสวงหาดู แล้วมานพทั้งสองก็ลาอาจารย์ เที่ยวเสาะแสวงหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถเป็นอาจารย์สอนโมกขธรรมให้ แม้พยายามเที่ยวไปในชนบทน้อยใหญ่ ได้ข่าวว่ามีอาจารย์ในสำนักใดดี มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมนับถือ ก็เข้าไปไต่ถาม ขอรับความรู้ความแนะนำ แต่แล้วก็ไม่สมประสงค์ เพราะทุกอาจารย์ที่เข้าไปไต่ถาม ต่างก็ยอมจำนนด้วยไม่สามารถบรรเทาความสงสัย ให้ความเบิกบานเคารพนับถือได้ เมื่อได้ท่องเที่ยวทุกแห่งจนสุดความสามารถ สิ้นศรัทธาที่จะพยายามสืบเสาะต่อไปอีกแล้ว มานพทั้งสองก็กลับมาอยู่ในสำนักอาจารย์เดิมดังกล่าว ต่างให้สัญญาไว้แก่กันว่า ผิว์ผู้ใดได้โมกขธรรมก่อน จงบอกให้แก่ผู้หนึ่งได้รู้เช่นกัน ในกาลนั้นพอพระสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เสด็จไปตรัสเทศนาธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรโปรดพระปัญจวัคคีย์ ตราบเท่าจนส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์ ออกไปเที่ยวประกาศพระศาสนา แล้วพระองค์ก็เสด็จไปแสดงธรรมโปรดชฎิล ๑,๐๐๐ รูป แล้วเสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร เสด็จประทับอยู่ในเวฬุวันวิหาร ครั้งนั้น พระอัสสชิเถรเจ้า ซึ่งอยู่ในคณะภิกษุปัญจวัคคีย์ ได้ออกประกาศพระศาสนาจาริกมาสู่เมืองราชคฤห์ เวลาเช้าทรงบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตภายในเมือง ขณะนั้น พออุปดิสสปริพาชกบริโภคอาหารเช้าแล้ว เดินไปสู่อารามปริพาชก เห็นพระอัสสชิเถรเจ้าซึ่งสมบูรณ์ด้วยอาจาระตามสมณวิสัย จะก้าวไปข้างหน้าหรือจะถอยกลับ มีสติสังวรเป็นอันดี มีจักษุทอดพอประมาณทุกขณะ เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส เป็นที่พึงตาพึงใจของอุปดิสสะเป็นอย่างมาก ดำริว่า บรรพชิตมีกิริยาอาการในรูปนี้ เรามิได้เคยพบเห็นมาแต่ก่อน ท่านผู้ใดได้รับยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ในโลกนี้ บรรพชิตรูปนี้จะต้องนับเข้าในพระอรหันต์พวกนั้นรูปหนึ่งเป็นแน่แท้ ควรเราจะเข้าหาสมณรูปนี้เพื่อได้ศึกษา ขอรับข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุโมกขธรรมเช่นท่านบ้าง แต่แล้วอุปดิสสมานพก็กลับได้สติ ดำริใหม่ว่า “ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยวบิณฑบาตของภิกษุรูปนี้อยู่ ไม่ควรที่เราจะเข้าไปไต่ถาม” ครั้นอุปดิสสะดำริฉะนี้แล้ว ก็เดินติดตามท่านภายในระยะทางพอสมควร ครั้นพระอัสสชิเถรเจ้าได้บิณฑบาตแล้วหลีกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าควรจะเป็นที่นั่งทำภัตกิจได้ อุปดิสสปริพาชกได้รีบเข้าไปใกล้ จัดตั้งอาสนะถวายแล้วนั่งปฏิบัติ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน ครั้นพระเถรเจ้าทำภัตกิจเสร็จแล้ว อุปดิสสปริพาชกจึงกล่าวปฏิสันถารด้วยคารวะว่า “ข้าแต่ท่านผู้มีอายุ ใบหน้าของท่านผ่องใสยิ่งนัก แสดงว่าท่านมีความสุข แม้ผิวพรรณของท่านก็สะอาดบริสุทธิ์ ประทานโทษ ท่านบรรพชาต่อท่านผู้ใด ใครเป็นครูอาจารย์ของท่าน และท่านได้เล่าเรียนธรรมในผู้ใด?” พระเถรเจ้าตอบว่า “ดูกร ปริพาชก พระมหาสมณะศากยบุตรเสด็จออกบรรพชาจากศากยราชตระกูล พระองค์นั้น เป็นบรมครูของฉัน ฉันบวชต่อพระศาสดาพระองค์นั้น และเล่าเรียนธรรมในพระศาสดาพระองค์นั้นแล” อุปดิสสปริพาชกจึงเรียนถามต่อไปว่า “อาจารย์ของท่านสอนธรรมอย่างไรแก่ท่าน?” พระเถรเจ้าดำริว่า ธรรมดาปริพาชกย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา ควรอาตมะจะแสดงคุณแห่งพระศาสนา โดยความเป็นธรรมลึกซึ้งและประณีตสุขุมเถิด ครั้นแล้วจึงตอบว่า “ดูกรปริพาชก อาตมะเพิ่งบวชใหม่ ไม่อาจแสดงธรรมวินัยโดยพิสดารแก่เธอได้ดอก” อุปดิสสปริพาชกจึงเรียนปฏิบัติท่านว่า “ข้าพเจ้าชื่อว่า อุปดิสสะ ขอให้พระเถรเจ้ากรุณาบอกธรรมเพียงแต่ย่อๆเถิด” พระอัสสชิเถรเจ้ากล่าวคาถาแสดงวัตถุประสงค์ของพระศาสนาว่า “เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา” เป็นอาทิ ความว่า “ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะตรัสสอนอย่างนี้” อุปดิสสปริพาชกได้ปรีชาญาณหยั่งเห็นสัจธรรม ถึงบรรลุโสดาปัตติผล โดยสดับเทศนาหัวใจพระศาสนาของพระเถรเจ้าเพียงคาถาหนึ่งเท่านั้น แล้วเรียนท่านโดยคารวะว่า “ข้าแต่ท่านอาจารย์ ขอประทานกรุณาหยุดเพียงนี้เถิด อย่าแสดงต่อไปอีกเลย เวลานี้พระบรมศาสดาของเราเสด็จอยู่ที่ไหน ?” พระเถรเจ้าบอกว่า “เวลานี้พระบรมศาสดายังเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร” “เป็นพระคุณหาที่สุดมิได้” อุปดิสสะอุทานวาจาออกด้วยความซาบซึ้งในธรรมและในความกรุณาของพระเถรเจ้า “นิมนต์ท่านอาจารย์ไปก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะตามไปภายหลัง ด้วยข้าพเจ้าได้ให้สัญญาไว้กับโกลิตมานพสหายที่รักว่า ถ้าผู้ใดได้โมกขธรรมก่อน จงบอกแก่กันให้รู้ ฉะนั้นข้าพเจ้าจะกลับไปเปลื้องสัญญาเสียก่อน แล้วจะพาสหายผู้นั้นไปสู่สำนักพระบรมศาสดาของเราต่อภายหลัง” แล้วกราบพระเถรเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์ด้วยความเคารพ กระทำประทักษิณเดินเวียน ๓ รอบ แล้วส่งพระเถรเจ้าไปก่อน ส่วนตนออกเดินบ่ายหน้าไปสู่ปริพาชการาม ส่วนโกลิตปริพาชกเห็นสหายเดินมาแต่ไกล จึงดำริว่า ใบหน้าของสหายเราวันนี้ดูเบิกบานผ่องใสยิ่งกว่าวันอื่นๆชะรอยจะได้โมกขธรรมเป็นแน่แท้ ครั้นอุปดิสสปริพาชกเข้ามาใกล้ จึงถามตามความคิด อุปดิสสะก็บอกว่า “ตนได้บรรลุโมกขธรรมแล้ว มานี่ก็เพื่อบอกโมกขธรรมนั้นแก่สหาย ให้เป็นไปตามสัญญาของเราที่ให้กันไว้แต่แรก ขอสหายจงตั้งใจฟังเถิด” แล้วอุปดิสสะก็แสดงคาถาหัวใจของพระศาสนา ซึ่งตนได้สดับมาจากพระอัสสชิเถรเจ้า พออุปดิสสะแสดงจบลง โกลิตปริพาชกก็ได้ปรีชาญาณหยั่งเห็นในอริยสัจจะ บรรลุโสดาปัตติผลเช่นเดียวกับอุปดิสสปริพาชก โกลิตะจึงกล่าวแก่อุปดิสสะว่า “เราทั้งสองได้บรรลุโมกขธรรมแล้ว ควรจะไปสำนักพระบรมศาสดากันเถิด” อุปดิสสะเป็นผู้เคารพบูชาอาจารย์มาก จึงตอบว่า “ถูกแล้ว เราทั้งสองควรจะไปเฝ้าพระบรมศาสดาดังที่เธอกล่าว แต่ก่อนจะจากสำนักนี้ไป เราทั้งสองควรจะไปอำลาท่านสญชัยอาจารย์ แล้วหาโอกาสแสดงโมกขธรรมให้ฟัง ถ้าอาจารย์ของเรามีวาสนาบารมีก็จะพลอยได้รู้โมกขธรรมด้วยกัน แม้ไม่ถึงอย่างนั้นเพียงแต่ท่านเชื่อฟัง แล้วพากันไปสู่สำนักพระบรมศาสดา เมื่อได้ฟังธรรมเทศนาแล้ว ก็จะได้บรรลุมรรคและผลตามวาสนาบารมีเป็นแน่” ครั้นสองสหายปรึกษาตกลงกันแล้ว ก็พากันเข้าไปหาท่านสญชัยอาจารย์ บอกให้ทราบว่า “บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วในโลก ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วนั้น เป็นนิยยานิกธรรมสามารถนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์โดยชอบจริง พระสงฆ์สาวกก็ปฏิบัติชอบด้วยสุปฏิบัติ ท่านอาจารย์จงมารวมกันไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้ายังพระเวฬุวันสถานนั้นเถิด” ท่านสญชัยปริพาชกจึงกล่าวห้ามว่า “ไยท่านทั้งสองจึงมาเจรจาเช่นนี้ เรามีลาภยศใหญ่ยิ่งเป็นเจ้าสำนักใหญ่โตถึงเพียงนี้แล้ว ยังควรจะเป็นศิษย์ของใครในสำนักใดอีกเล่า ?” แต่แล้วก็คิดว่า อุปดิสสะและโกลิตะทั้งสองนี้เป็นคนดีมีปัญญาสามารถ น่าที่จะบรรลุโมกขธรรมตามที่ปรารถนายิ่งนักแล้ว คงจะไม่ฟังคำห้ามปรามของตน จึงกล่าวใหม่ว่า “ท่านทั้งสองจงไปเถิด เราเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยถึงความชราแล้ว ไม่อาจจะไปเป็นศิษย์ผู้ใดได้ดอก” “ท่านอาจารย์อย่ากล่าวดังนั้นเลย” สหายทั้งสองวิงวอน “ไม่ควรที่ท่านอาจารย์จะคิดเช่นนั้น เมื่อพระสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ดังดวงอาทิตย์อุทัยให้ความสว่างแล้ว คนทั้งหลายจะหลั่งไหลไปฟังธรรมของพระสัมพุทธเจ้า แล้วท่านอาจารย์จะอยู่ได้อย่างไร” “พ่ออุปดิสสะ ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ?” สญชัยปริพาชกถามอย่างมีทางเลี่ยง แต่อุปดิสสะตอบตรงๆโดยความเคารพว่า “คนโง่สิมาก ท่านอาจารย์ คนฉลาดมีปัญญาสามารถจะมีสักกี่คน” “จริง ! อย่างพ่ออุปดิสสะพูด” สญชัยปริพาชกกล่าวอย่างละเมียดละไม “คนฉลาดมีน้อย คนโง่มีมาก อุปดิสสะ เพราะเหตุนี้แหละเราจึงไม่ได้ไปด้วยกัน เราจะอยู่ในสำนักของเรา อยู่ต้อนรับคนโง่ คนโง่อันมีปริมาณมากจะมาหาเรา ส่วนคนฉลาดจะไปหาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นท่านทั้งสองจงไปเถิด เราไม่ไปด้วยแล้ว” แม้สหายทั้งสองจะพูดจาหว่านล้อมสญชัยปริพาชกด้วยเหตุผลใดๆก็ไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจของสญชัยปริพาชก ให้ไปเฝ้าพระบรมศาสดาได้ อุปดิสสะและโกลิตะจึงชวนปริพาชกผู้เป็นบริวารของตนจำนวน ๒๕๐ คน ลาอาจารย์สญชัยไปเฝ้าพระบรมศาสดา ยังพระเวฬุวันวิหาร คัดมาจาก พุทธประวัติทัศนศึกษา โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี) http://dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm |