พุทธประวัติ


ดอกมณฑาคืออะไร มีในโลกมนุษย์หรือไม่ ตกลงมาด้วยเหตุใด เพื่ออะไร

          เวลานั้นพระมหากัสสปเถรเจ้า พาภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ เดินทางจากเมืองปาวาไปเมืองกุสินารา เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน แสงแดดกล้าพระเถรเจ้าจึงพาพระภิกษุสงฆ์เข้าหยุดพักร่มไม้ริมทาง ด้วยดำริว่า ต่อเพลาตะวันเย็นจึงจะเดินทางต่อไป

          ครั้นพระเถรเจ้าพักพอหายเหนื่อย ก็เห็นอาชีวกผู้หนึ่งเดินถือดอกมณฑากั้นศีรษะมาตามทาง ก็นึกฉงนใจ ด้วยดอกมณฑานี้หามีในมนุษย์โลกไม่ เป็นของทิพย์ในสุราลัยเทวโลก จะตกลงมาเฉพาะในเวลาอันสำคัญๆ คือ เวลาพระบรมโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ เวลาประสูติ เวลาเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ เวลาพระสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เวลาแสดงธรรมจักร เวลาทรงทำยมกปาฏิหาริย์ เวลาเสด็จลงจากเทวโลก เวลาปลงอายุสังขาร และเวลาพระสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เท่านั้นไฉนกาลบัดนี้ จึงเกิดมีดอกมณฑาอีกเล่า ทำให้ปริวิตกถึงพระบรมศาสดา หรือพระบรมศาสดาจักเสด็จปรินิพพานแล้ว นึกสงสัยจึงได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้อาชีวกผู้นั้น แล้วถามว่า
          “ดูกร อาชีวก ท่านมาแต่ที่ใด”
          “เมืองกุสินารา พระผู้เป็นเจ้า”
          “ท่านยังได้ทราบข่าวคราวพระบรมครูของเราบ้างหรือ อาชีวก” พระเถรเจ้าถามสืบไป
          “พระสมณโคดม ครูของท่านนิพพานเสียแล้วได้ ๗ วันถึงวันนี้” อาชีวกกล่าว
          “ดอกมณฑานี้ เราก็ได้มาแต่เมืองกุสินารา เนื่องในการนิพพานของพระมหาสมณโคดม พระองค์นั้น”

          เมื่อภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชน ได้ฟังถ้อยคำของอาชีวกบอกเช่นนั้นก็ตกใจ มีหฤทัยหวั่นไหวด้วยกำลังแห่งโทมนัส เศร้าโศกปริเทวนาการร่ำไห้ถึงพระบรมศาสดา ฝ่ายพระสงฆ์ที่เป็นพระขีณาสพก็เกิดความสังเวชสลดจิต

          เวลานั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง บวชเมื่อภายแก่ ชื่อ สุภัททะ เป็นวุฑฒบรรพชิต มีจิตดื้อด้านด้วยสันดานพาลชน เป็นอลัชชีมืดมน ย่อหย่อนในธรรมวินัย ลุกขึ้นกล่าวห้ามภิกษุว่า
          “ท่านทั้งปวง อย่าร้องไห้ร่ำไรไปเลย บัดนี้เราพ้นอำนาจพระมหาสมณะแล้ว เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ย่อมจู้จี้ เบียดเบียนบังคับบัญชาห้ามปรามเราต่างๆ นานา ว่าสิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร บัดนี้ พระองค์ปรินิพพานแล้ว เราปรารถนาจะทำสิ่งใด ก็จะทำได้ตามใจชอบ ไม่มีใครบังคับบัญชาห้ามปรามแล้ว”


คัดมาจาก พุทธประวัติทัศนศึกษา โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)
          http://dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm

back>>