ฤดูฝนกับพุทธศาสนาประเทศไทยมี ๓ ฤดูด้วยกันคือ ๑) ฤดูร้อน ซึ่งจะอยู่ในช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ๒) ฤดูฝน จะอยู่ในช่วงประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงประมาณกลางเดือนตุลาคม และ ๓) ฤดูหนาว เริ่มประมาณกลางเดือนตุลาคม ถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ พระพุทธศาสนามองดูฤดูกาลต่างๆ ว่าเป็นปรากฏการณ์สภาวธรรมชาติเป็นไปตามกฎธรรมชาติที่เรียกว่าอุตุนิยาม กฎนี้มีฤดูกาลในแต่ละปีจะมีลักษณะเป็นอย่างไรนั้น แล้วแต่เหตุปัจจัยต่างๆว่ามีเพียงพอหรือมากน้อยเพียงใดไม่ได้เป็ฯเรื่องเหนือธรรมชาติ ๑. ฝนกับธรรมะ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบธรรมหรือความจริงที่ทรงค้นพบจากการตรัสรู้และทรงนำไปเผยแพร่แก่คนทั้งหลาย กับสายฝน เพื่อให้มองเห็นว่าธรรมะมีธรรมชาติเย็นสามารถดับไฟร้อนแรงของกิเลสและสร้างความรื่นรมย์ ความสดชื่นให้แก่ชีวิตได้เหมือนสายฝนที่ทำให้พื้นดินที่ร้อนระอุเย็นลงและมีความชุ่มฉ่ำมาแทนที่ การเผยแพร่พุทธศาสนาไปยังสถานที่ต่างๆ มีผลให้ฝนแห่งธรรมะตกในบริเวณกว้างไปเรื่อยๆ เพื่อให้ชีวิตเจริญงอกงาม ส่วนชีวิตแต่ละชีวิตจะซึมซับธรรมะได้อย่างไรและมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับธรราชาติของชีวิตนั้น เช่นเดียวกับลักษณะของภาชนะรับน้ำฝน ภาชนะที่มีรูรั่วหรือเป็นตะแกรงย่อมรับน้ำฝนไม่ได้ฉันใด คนที่ฟังธรรมะแบบเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาก็ย่อมไม่มีธรรมะไว้หล่อเลี้ยงชีวิตฉันนั้น ในนัยนี้ชาวพุทธที่อยู่ในวัฒนธรรมต่างกัน จึงย่อมคิดและทำไม่เหมือนกันทีเดียว ความแตกต่างนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะนำมาใช้แยกชาวพุทธออกจากกัน ลักษณะเด่นพิเศษที่สุดของชาวพุทธคือการมีจิตใจในสภาวะของพุทธะ คือการตื่นจากหลับใหลในโลภ โกรธ หลง การรู้สภาวะความจริงของสรรพสิ่งและความเบิกบานจากการเป็นอิสระและการพ้นทุกข์ ๒. ฤดูฝนกับพระสงฆ์ ฤดูฝนเป็นระยะเวลาสำหรับการปลูกพืชผลทางการเกษตร พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษา ๓ เดือน (“พรรษา” แปลว่า ฤดูฝน, “จำ” แปลว่า พักอยู่) เริ่มนับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ของทุกปี (หรือเดือน ๘ หลัง ถ้ามีเดือน ๘ สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เพราะไม่ทรงต้องการให้พระสงฆ์จาริกเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่างๆ เช่นที่เคยทำมาเพราะจะเดินทางได้ยากลำบากกว่าในฤดูกาลอื่น และจะทำความเสียหายให้แก่พืชพรรณธัญญาหารในไร่นา การอยู่จำพรรษาจึงเป็นประเพณีนิยมสืบต่อกันมามากกว่า ๒๕๐๐ ปี ในช่วงระยะเวลานี้ จำนวนพระสงฆ์ที่อยู่ประจำวัดจะมีมากกว่าในยามปกติ ทำให้วัดมีลักษณะเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้และการปฏิบัติธรรมมากกว่าในเวลาอื่น นอกจากได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์แล้ว พระสงฆ์บางรูปยังใช้โอกาสตั้งจิตอธิษฐานที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จ เช่น ในสมัยพุทธกาล พระจักขุบาลเถระ ได้ตั้งจิตอธิษฐานที่จะปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดด้วยการยืน เดิน นั่ง แต่จะไม่นอนเลยตลอดทั้งพรรษา จนในที่สุดเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่าสำหรับพระสงฆ์ การอยู่จำพรรษาในช่วงฤดูฝนเป็นเวลาของการพัฒนาชีวิตด้วย ศีล สมาธิ และปัญญาได้เป็นชีวิตที่ดีงามสมกับเป็นชีวิตของ “ลูกของพระพุทธเจ้า” และเป็น “เนื้อนาบุญ” ของชาวพุทธ หรืออีกนัยหนึ่งการจำพรรษาเป็นการเตรียมตัวที่จะนำ “ฝนแห่งธรรมะ” ไปตกในที่ต่างๆ เพื่อสร้างความเจริญงอกงามให้แก่ชีวิต ๓. ฤดูฝนกับฆราวาส ชาวพุทธทั่วไปนิยมสะสมบุญกุศลให้แก่ตัวเองตลอดเวลา และชอบใช้ระยะเวลาเข้าพรรษาเพิ่มบุญกุศลด้วยการทำสังฆทาน เช่นถวายเทียนเข้าพรรษาไว้จุดบูชาตลอด ๓ เดือน โดยถือว่าการถวายเทียนเป็นการสร้างบุญบารมีให้ตนให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในภพหน้า และถวายวัสดุสิ่งของต่างๆ ที่จะช่วยให้พระสงฆ์มีชีวิตสะดวกสบายขึ้น นอกจากนั้นยังนิยมถวายผ้าอาบน้ำฝน สำหรับให้พระสงฆ์ใช้ผลัดอาบน้ำตามพุทธบัญญัติอีกด้วย บางคนใช้โอกาสนี้ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามให้เป็นบุญกุศลแก่ชีวิตของตน เช่นเลิกเหล้า เลิกสูบบุหรี่ และรักษาอุโบสถศีลตลอดระยะเวลา บางคนถึงกับยอมสละชีวิตทางโลกเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ จึงอาจกล่าวได้ว่าฤดูฝนและพระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์กันมากกว่าฤดูกาลใด พระสงฆ์ใช้ระยะเวลานี้ศึกษาและปฏิบัติธรรมมากเป็นพิเศษเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำฝนแห่งธรรมะไปดับร้อนและสร้างความชุ่มชื่นให้แก่ชีวิตในที่ต่างๆ ส่วนฆราวาสก็ใช้ฤดูกาลนี้สะสมบุญกุศลให้แก่ตัวมากเป็นพิเศษเพื่อประโยชน์ปัจจุบันและประโยชน์ภายนอก สำหรับชาวพุทธฤดูฝนจึงเป็นฤดูที่มีความหมายมากกว่าฤดูกาลของการมีฝนตกตามธรรมชาติ
ดาวน์โหลดเอกสาร ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๓
|